จากกรณีที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2561 โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) รับผิดชอบในการดำเนินโครงการฯ เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดระดับจังหวัดและระดับภาคได้ทั่วประเทศและสามารถบูรณาการการรับแจ้งเหตุฉุกเฉินทุกเหตุการณ์ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของหลายๆ หน่วยงานเข้าด้วยกัน โดยใช้หมายเลข 191 เลขหมายเดียว โดยอนุมัติงบประมาณของ กสทช. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สนับสนุน ค่าใช้จ่ายลงทุน และค่าใช้จ่ายดำเนินการจาก กสทช. แบ่งเป็น งบลงทุน 3,000 ล้านบาท และจัดจ้างที่ปรึกษาโครงการ 143 ล้านบาทต่อมา เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2562 คณะกรรมการดำเนินงานจ้างที่ปรึกษาโครงการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ(ศูนย์ฯ 191) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.ต.ท.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ เป็นประธาน มีการพิจารณาให้เอกชนยื่นข้อเสนอเป็นที่ปรึกษาโครงการดังกล่าวงเงิน 143 ล้านบาท แต่ปรากฏว่า กรรมการฯ บางคนไม่เห็นด้วยกับทีโออาร์บางข้อที่ส่อว่า จะล็อกสเปกให้กับเอกชนบางรายหรือไม่ และปิดกั้นบางราย ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาออกแบบระบบการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติหมายเลขเดียว (National Single Emergency Number) ให้กับกสทช. ถือว่ามีผลงานและน่าจะเข้าร่วมยื่นข้อเสนอ แต่กลับถูกปิดกั้นไม่ให้ร่วมยื่นข้อเสนอโครงการรับแจ้งเหตุฉุกเฉินนี้ มีอดีตนายตำรวจที่เคยอื้อฉาวนายหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อหวังจะให้เอกชนบางรายชนะการประมูลติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์วงเงิน 3 พันล้านบาท ส่วนการจ้างที่ปรึกษาวงเงิน 143 ล้านบาทนั้น ถือเป็นงานเล็กน้อย แต่หากล็อกสเปกบริษัทที่ปรึกษาได้ ก็จะต่อยอดล็อกสเปกการประมูลติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทั้งนี้เรื่องดังกล่าว ได้มีการยื่นเรื่องร้องเรียนไปยัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พิจารณาให้ความเป็นธรรมกับการจ้างที่ปรึกษาโครงการนี้ เพื่อความโปร่งใสและเกิดประสิทธิภาพกับโครงการมากขึ้นแต่เรื่องกลับเงียบหายไปล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา คณะกรรมการคัดเลือกที่ปรึกษา ได้มีการเชิญผู้ที่เข้าร่วมการประมูลโครงการจ้างที่ปรึกษาวงเงิน 143 ล้านบาท แต่ละราย เข้าไปพูดคุย แต่กรรมการกลับถามในเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานดังกล่าว เช่น ถามว่า ที่ปรึกษาจากต่างประเทศที่ตั้งไว้ตอนนี้ ทำงานที่ไหนบ้าง อีกทั้งโครงการนี้ ทาง สตช.เป็นเจ้าของโครงการ แต่กรรมการที่มาจาก กสทช. กลับเจ้ากี้เจ้าการถามในเรื่องต่างๆ ซึ่งแทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับงาน และเป็นที่น่าสังเกต คือ ทางคณะกรรมการคัดเลือกส่งหนังสือมาถึงบริษัทในช่วงบ่ายวันที่ 23 ธันวาคม เพื่อให้ไปพรีเซนต์รายละเอียดในเช้าวันที่ 24 ธันวาคม ซึ่งเวลากระชั้นชิดเกินไป โดยมีบริษัทที่ผ่านคุณสมบัติเข้าไปพูดคุยกับกรรมการได้มี 3 ราย ซึ่งขั้นตอนจนถึงขณะนี้ เวลากว่า 4 เดือนแล้ว ทางคณะกรรมการยังได้ดำเนินการใดๆ ทำให้มีการมองว่า โครงการดังกล่าวอาจจะมีการล็อคสเปคให้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่งหรือไม่ เพราะคนที่มีพาวเวอร์และรู้เรื่องเทคนิคต่างๆ คือ คนระดับผู้อำนวยการสำนักหนึ่งใน กสทช. กับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้โครงการนี้ อาจจะซ้ำรอยกับโครงการ Biometrics ที่ยังคงมีปัญหาจนถึงขณะนี้หรือไม่..น่าจับตา!