
กระตุกอารมณ์คนไทยกรณีภาษีทรัมป์ ต่อให้ไทยยอม "ขายประเทศ" แบบเมกาจะเอาอะไรประเคนให้หมด พวกท่านเชื่อหรือว่า ประธานาธิบดีเลือดบ้า ดี เดือดอย่าง "โดนัลด์ ทรัมป์" ที่ไม่เห็นหัวใครอยู่ในสายตา จะยอมลดภาษีให้ไทยเหลือ 10-15% อย่างที่เราคาดหวังกันไว้ เขาจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีกันมาอย่างเนิ่นนานเป็น 150 ปีหรือ?
…
เห็นนักวิชาการหลายคนดาหน้าออกมาถล่มคณะทำงานเจรจาภาษีของไทย ที่ไม่รู้ไปยื่นข้อเสนอหรือเจรจากับมหามิตรมะกันอิท่าไหน จึงเป็นเหตุให้ท้ายที่สุดแล้ว ประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ยังคงส่ง "จดหมายน้อย" ประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยสูงถึง 36% ไม่ได้ลดลงไปจากที่ประกาศไว้ก่อนหน้าแม้แต่น้อย

สู้คณะทำงานเจรจาของเวียดนาม หรือมาเลเซีย และแม้แต่เพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาไม่ได้ ที่ไม่รู้เขายื่นข้อเสนออย่างไร ถึงทำให้มะกันพอใจ
จนยอมลดภาษีนำเข้าให้แก่เวียดนามเหลือ 20% มาเลย์ 25% ส่วนกัมพูชาแม้จะจัดเก็บเท่าไทยเรา แต่ก็เป็นอัตราที่ลดลงจากตัวเลขเดิมที่จะถูกจัดเก็บสูงถึง 49%
ก่อนจะดาหน้าถล่มหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทยและคณะผู้เจรจาว่า ไปทำอิท่าไหน สูญเสียเม็ดเงินค่าเดินทาง ค่าที่พักและค่าล็อบบี้ยิสต์หมดไปเป็น 100 ล้าน แต่กลับไม่ได้อะไรกลับมาเป็นชิ้นเป็นอัน

ที่จริงหากทุกฝ่ายจะมองด้วยใจเป็นธรรม ไม่มีอคติอะไร เราคงไม่สามารถโทษหัวหน้าคณะเจรจาหรือคณะเจรจาฝ่ายไทยได้เลยว่า ไปยื่นข้อเสนอหรือเจรจาอิท่าไหนถึงได้ "ล้มเหลว" เอาได้
เพราะต่อให้ไทยยอม "ขายประเทศ" แบบเมกาจะเอาอะไรประเคนให้หมด พวกท่านเชื่อหรือว่า ประธานาธิบดีเลือดบ้า ดี เดือดอย่าง "โดนัลด์ ทรัมป์" ที่ไม่เห็นหัวใครอยู่ในสายตาจะยอมลดภาษีให้ไทยเหลือ 10-15% อย่างที่เราคาดหวังกันไว้ เขาจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีกันมาอย่างเนิ่นนานเป็น 150 ปีหรือ?
ลองดูสิ่งที่ผู้นำโลกเสรี (แต่เปลือก) รายนี้ ร่อนแถลงการณ์ผ่าน Truth Social ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา เสียก่อน ที่ประกาศว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปและเม็กซิโกในอัตรา 30% ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมศกนี้
ในจดหมายถึงเม็กซิโก "ทรัมป์" ระบุว่า ยอมรับความร่วมมือของเม็กซิโกในการสกัดกั้นผู้อพยพและเฟนทานิล แต่ก็ยังกล่าวหาว่า "ไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอ" ปล่อยให้ทวีปอเมริกาเหนือกลายเป็น “สนามเด็กเล่นของขบวนการค้ายา”
ส่วนในจดหมายที่มีไปถึง EU "ทรัมป์" ระบุว่า การเจรจาทางการค้าไม่ก้าวหน้า และความสัมพันธ์ทางการค้ากับยุโรปไม่เป็นธรรม โดยโทษนโยบายภาษีและอุปสรรคทางการค้าที่ทำให้สหรัฐขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง
(เครดิต https://www.theguardian.com/us-news/2025/jul/12/trump-tariffs-eu-mexico)

กล่าวได้ว่า ไม่มีประเทศใดเอาเลยที่จะพึงพอใจกับผลเจรจาที่ได้ขนาดสหภาพยุโรป หรือ EU ที่ตั้งขององค์การการค้าโลก หรือ WTO แท้ๆ ยังโดน "ทรัมป์" เล่นงานอย่างหนักกับการประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าที่สูงถึง 30% ขณะเม็กซิโกนั้นถูกเรียกเก็บภาษีแพงลิบลิ่วเพียงเพราะท่านผู้นำบ้า ดี เดือด ของทำเนีย(น)บขาว อ้างว่า ไม่ให้ความร่วมมือปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดและปราบปรามการลักลอบเข้าประเทศสหรัฐฯ เท่านั้น
แม้แต่ประเทศบราซิลที่เสียเปรียบดุลการค้าให้แก่สหรัฐมาโดยตลอดยังโดนโขกภาษีนำเข้าสูงลิ่วถึง 50% ด้วยข้ออ้างที่ว่าบราซิล “โจมตีเสรีภาพในการเลือกตั้ง” และ “คุกคามเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของชาวอเมริกัน” รวมถึงปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่ออดีตผู้นำฝ่ายขวา (Jair Bolsonaro) ที่มีความสนิทสนมกับประธานาธิบดีทรัมป์

งานนี้ทำเอาประธานาธิบดี ลูอีซ อินาซีโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล เป็นเดือดเป็นแค้นต่อสิ่งที่บราซิลได้รับ จนถึงขนาดที่ออกมาตีแสกหน้าวิพากษ์นโยบายของทรัมป์ว่า กำลัง “สร้างความแตกแยกในโลก” และเรียกทรัมป์ว่า “จักรพรรดิที่ไม่มีใครต้องการ” (unwanted emperor) พร้อมทั้งประกาศว่า จะจัดเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้สหรัฐฯ แบบไม่ไว้หน้า แค่รอดูวันที่ 1 สิงหาคมนี้ว่า หากสหรัฐฯ ยังคงยืนยันจะจัดเก็บตามอัตราที่ประกาศมา ก็คอยดูว่าสินค้าจากสหรัฐฯ จะโดนจัดเก็บแบบเดียวกันไหม
แม้แต่เวียดนามที่เราชื่นชมว่า ทำอย่างไรหนอ สหรัฐฯ ถึงยอมหั่นภาษีจัดเก็บจาก 60% ลงมาเหลือ 20% ได้นั้น คณะทำงานเจรจาของเวียดนามก็ไม่ได้ตีปี๊บดีอกดีใจหรือเที่ยวไปคุยโวโอ้อวดประชาชนหรือประเทศเพื่อนบ้านว่าตัวเองโชคดีมหาศาลแค่ไหนที่ถูกเก็บภาษีต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ตรงกันข้ามกลับ "เงียบกริ้บ"..
เพราะนัยว่า คณะทำงานเจรจาของเวียดนามนั้น ได้ทำความตกลงที่จะจัดเก็บภาษีระหว่างกันแค่ 11% แต่พอรายงานไปยังผู้นำทำเนียบขาว กลับปรากฏว่าทาง ปธน.ทรัมป์ กลับยกหูตรงไปยังรัฐมนตรีการค้าของเวียดนามจะจัดเก็บภาษีนำเข้าที่อัตรา 20% แทนทำเอารัฐบาลฮานอยจุกอกจนพูดไม่ออก เพราะสูงกว่าที่เจรจาไว้เป็นเท่าตัวจนไม่รู้จะตอบประชาชนคนเวียดว่าอย่างไรดี
แล้วประเทศไทยเราที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ มาเนิ่นนาน มีอะไรไปต่อรองเขา นอกจากเปิดประเทศรับของเหลือเดนจากสหรัฐฯ แบบหมดเปลือก หมดไส้หม้อ (ยิ่งกว่าการขายประเทศ) ซึ่งก็ไม่แน่ว่า จะทำให้ประธานาธิบดีบ้าอำนาจอย่าง "โดนัลด์ ทรัมป์" พึงพอใจ จนยอมเห็นแก่หน้ามหามิตรอย่างไทยเรา
เผลอๆ อาจเจอข้อหาเป็นแหล่งซ่องสุมขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวง "สแกมเมอร์" หรือคอลล์เซ็นเตอร์ อะไรไปด้วยอีก ก็เห็นผู้นำกลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวตีปี๊บเย้วๆ กันว่า ผู้นำทางจิตวิญญาณของไทยแอบไปมีข้อตกลงลับอะไรกับสมเด็จฮุนเซ็นอยู่ไม่ใช่หรือ ระวังประธานาธิบดีทรัมป์จะบ้าจี้ตามเอาไปเป็นเหตุที่ยังต้องโขกภาษีนำเข้าจากไทยสูงลิบลิ่วอยู่ต่อไป
เจรจากับคนบ้า ดี เดือดไม่สนโลกอย่าง "ทรัมป์" ก็เหมือนดั่งที่ภาษิตโบราณท่านว่าไว้ "หมาป่ากับลูกแกะ" นั่นแหละ ต่อให้เรายกเหตุผลยกแม่น้ำทั้งห้ามาเจรจาพูดคุยให้ "ตาย.....ห่า" ยังไง ก็ไม่มีทางที่จะได้ข้อตกลงที่รับได้แน่!
สงวนเอาสิ่งที่เราต้องแลกกับการเปิดตลาดให้สหรัฐฯ นี้ไว้ให้แก่คู่ค้า เห็นคุณค่าของประเทศเราจะดีกว่าไหม?
ต่อให้เราต้องเจอภาษีเป็น 50/100% ก็ไม่ทำให้เราต้องตายวันตายพรุ่งหรอก เชื่อเหอะ
เป็นกำลังใจให้คณะทำงานเจรจาครับ อย่าไปลนลายผลีผลามเจรจาแบบบ้าดีเดือดไปกับคนบ้าพรรค์งั้นครับ
ไม่คุ้ม!!!!!