
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังคงร้อนระอุ ล่าสุด พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 สวมบทเข้มสั่งปิดด่านช่องตะกู ตำบลจันทบเพชร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป (เนตรทิพย์: Hot Issue ฟาดสักที! กองทัพภาค 2 สั่งปิดด่านจุด “ช่องสายตะกู” บุรีรัมย์ https://www.natethip.com/news.php?id=10302) และคาดว่า จะมีมาตรการจากเบาไปหาหนัก ดับซ่าส์ผู้นำกัมพูชาตามมาอย่างแน่นอน!

มาตรการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา มีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายตามมา..
โดยข่าวร้าย คือ ผลกระทบจากการค้าชายแดนทั้งสองฝ่ายย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะมาตรการเฉียบขาดของกระทรวงพาณิชย์ของไทย ที่ “ห้ามนำเข้ามันสำปะหลังจากกัมพูชา” ทำให้รถบรรทุกจอดยาวเหยียดเป็นแพอยู่หน้าด่านช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ
ปิดด่าน..หยุดทุเรียนเวียดนามทะลัก!
ส่วนข่าวดีหลังมีมาตรการเข้มงวดการนำเข้าสินค้าชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณด่านช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ คือ มาตรการเข้มงวดการนำเข้าผลิตผลทางการเกษตรจากกัมพูชา ซึ่งที่ผ่านมามีกระแสข่าวสะพัดว่า มีการลักลอบทุเรียนจากเวียดนามทะลักผ่านด่านเข้ามายังประเทศไทย โดยมีปลายทางที่ตลาดไทย
“ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีทุเรียนจากเวียดนามทะลักเข้าประเทศไทยวันละหลายตู้คอนเทนเนอร์บริเวณด่านช่องสะงำ โดยเป็นการนำเข้าของนายทุนจีนเทา เพื่อนำทุเรียนเวียดนามสวมสิทธิ์ทุเรียนไทย และส่งขายที่ตลาดไท” พ่อค้า-แม่ค้ารายหนึ่ง เปิดเผยกับสำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
พร้อมกล่าวต่อว่า “เป็นที่รู้กันในพื้นที่ว่า มีการลักลอบนำเข้าทุเรียนเวียดนาม ราคาถูก 25 บาทต่อกิโลกรัม บริเวณด่านช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ จากเมื่อก่อนที่มีการนำเข้าทุเรียนจากเวียดนามที่ด่านช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ แต่บริเวณนี้หูตาประชาชนจ้องอยู่เยอะ แต่บริเวณด่านช่องสะงำนั้น ตั้งอยู่บนเขา ไกลหูไกลตาประชาชน อาจทำให้เจ้าหน้าที่บางรายรู้เห็นเป็นใจกับนายทุนจีนสีเทา ปล่อยผ่านทุเรียนราคาถูกจากเวียดนามเข้าไทยหรือไม่”

มีข้อสงสัยว่า ทำไมไม่มีข่าวทุเรียนกัมพูชานำเข้าไทย เพราะทุเรียนมีราคาสูงกว่าทุเรียนเวียดนามหลายเท่าตัว และผลิตยังน้อยขายในประเทศยังไม่พอ ดังนั้น ทุเรียนเวียดนามที่มีผลิตจำนวนมากและราคาถูก ประกอบกับทางการจีนเข้มงวดการนำเข้าทุเรียนจากเวียดนาม เนื่องจากตรวจพบสารปนเปื้อนแคดเมี่ยม และสาร BY2 หรือ Basic Yellow 2 คือ สารเคมีประเภทสีย้อมที่มีสีเหลืองสด ซึ่งเป็นสารที่ก่อนมะเร็ง จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทุเรียนเวียดนามทะลักเข้าไทยจำนวนมาก
ทุเรียนไทยราคาดิ่ง!
จากกระแสข่าวทุเรียนเวียดนามราคาถูกทะลักเข้าประเทศไทยดังกล่าว เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาทุเรียนไทยตกต่ำในรอบหลายๆ ปี โดยเฉพาะทุเรียนขึ้นชื่อของจังหวัดศรีสะเกษ คือ.. “ทุเรียนภูเขาไฟ” ที่ปลูกในพื้นที่ 3 อำเภอ คือ อำเภอขุนหาญ กันทรลักษณ์ และเบญจลักษ์ กว่า 20,000 ไร่ และให้ผลผลิตกว่า 20,000 ตัน ในฤดูการผลิตปี 2568 ตกต่ำที่สุด โดยทุเรียนภูเขาไฟมีราคารับซื้อหน้าสวน 40-80 บาทเท่านั้น จากราคาปีที่แล้ว 120-180 บาทต่อกิโลกรัม

แฉขบวนการตกเขียว! ฉุดราคาทุเรียนภูเขาไฟต่ำติดดิน
นอกจากกระแสข่าว มีการลักลอบทุเรียนราคาถูกจากเวียดนามทะลักเข้าไทยแล้ว ในห้วงฤดูการผลิตปี 2568 ชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟยังถูกนายทุนน้องนักการเมืองท้องถิ่นรายใหญ่ “ตกเขียวชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟ” (โดยการปล่อยกู้ให้ชาวสวนทุเรียนกู้ยืมเงิน ทั้งโดยสมัครใจหรือจำเป็นต้องเอาเงินมาซื้อปุ๋ย ซื้อยาและจ่ายค่าแรง) เข้าข่ายในลักษณะเดียวกับการ “ตกเขียวชาวนา” ที่เคยเป็นข่าวฉาวโฉ่มาแล้ว
ทั้งนี้ การตกเขียวทุเรียนภูเขาไฟ เสมือนเป็นการสร้าง “เครือข่ายลูกสวนทุเรียน” จำนวนมาก โดยกระแสข่าวระบุว่า.. เถ้าแก่เจ้าของตลาดใหญ่ในอำเภอกันทรลักษณ์รายนี้ทุ่มเงินนับ 100 ล้านบาท เพื่อตกเขียวชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟ

การหว่านเงินของนายทุนใหญ่ตกเขียวชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยข้อดีชาวสวนทุเรียนที่สมัครใจไม่มีใครบังคับเข้าร่วมขบวนการตกเขียวทุเรียนภูเขาไฟ จะได้รับเงินอย่างต่ำ 100,000 - 300,000 บาทต่อราย ซึ่งชาวสวนจะได้รับเงินมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผลผลิตทุเรียนภูเขาไฟในแต่ละสวน
เรียกว่า ชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟที่ถูกตกเขียวจากทุนใหญ่ก็ได้เงินมาหมุนดูแลสวนก่อนตัดขาย เรียกได้ว่า แฮปปี้ตอนรับเงินก้อนโต พร้อมคำหวานจากนายทุนว่า.. “เงินก้อนนี้ ไม่ต้องทำสัญญาอะไร ไม่คิดดอกเบี้ย ถึงเวลาตัดทุเรียนค่อยจ่ายคืน และที่สำคัญจะให้ความยุติธรรมรับซื้อทุเรียนในราคาตลาดเท่านั้น”
เชื่อหรือไม่ สำนวนที่ว่า “ไม่มีอะไรฟรีในโลก” จากคำหวานๆ ของนายทุน ได้กลายเป็นยาขมทันทีทันใด หลังถึงวันตัดทุเรียนภูเขาไฟ ชาวสวนที่เข้าสู่ขบวนการตกเขียวทุเรียนภูเขาไฟ โดยไปรับเงินนายทุนรายนี้มาแล้ว
คำหวานๆ กลายเป็น “ยาพิษ” ทันที นายทุนก็คือนายทุน มีการเล่นเกมยื้อเวลาตัดทุเรียนภูเขาไฟ ทุเรียนแก่จัดรอไม่ได้ ชาวสวนโทรกระหน่ำหานายทุนและทีมงานตัดทุเรียนของนายทุนรายนี้ปรากฏว่า.. ไม่รับสายหรือสายไม่ว่าง!
“ชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟที่ถูกตกเขียวในพื้นที่อำเภอกันทรลักษณ์-อำเภอขุนหาญ หลายหมู่บ้าน เช่น หมู่บ้านหนองเก่า โดนเดื้อ บ้านซำขี้เหล็ก ซำบันได โคกเจริญ แจงแมง และอีกหลายหมู่บ้าน ได้รวมตัวกันขึ้นรถปิกอัพเดินทางไปประท้วงนายทุนขาใหญ่รายนี้ถึงหน้าตลาดในอำเภอกันทรลักษณ์มาแล้ว เพื่อให้รีบมาตัดทุเรียนเสียที เพราะทุเรียนเริ่มแก่จัดและร่วงหล่นเต็มสวน” ชาวสวนที่เรียนภูเขาไฟที่ถูกตกเขียวรายหนึ่ง สะท้อนถึงทุกข์ของชาวสวน
หลังจากชาวสวนทุเรียนประท้วงและข่าวเริ่มแพร่สะพัดตามสื่อ (อ่านเพิ่มเติมใน : เนตรทิพย์: บทความพิเศษ.. แนะชาวสวน “ทุเรียนภูเขาไฟ” รับมือ “เถ้าแก่-ล้ง” กดราคาซื้อต่ำติดดิน! https://www.natethip.com/news.php?id=10230)

รวมถึงสื่อใหญ่ค่ายหัวชมพู (ดูข่าวที่แนบมา) ร่วมออกมาเปิดโปง ทำให้นายทุนใหญ่ตกเขียวทุเรียนภูเขาไฟนั่งไม่ติด จึงเริ่มส่งทีมงานเข้ามาตัดทุเรียนตามสวนที่ถูกตกเขียวเอาไว้

คำหวานนายทุน คือ “ยาพิษ” สวนทุเรียนตกเขียว
พอถึงวันเริ่มตัดทุเรียนภูเขาไฟตามสวนที่ถูก “นายทุนใหญ่ตกเขียว” เอาไว้ ยิ่งเป็นข่าวร้ายซ้ำเติมชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟ เพราะว่า คำหวานๆ ของนายทุนกลายเป็น “ยาพิษ” ที่ร้ายยิ่งกว่ายาฆ่าหญ้า ฆ่าเชื้อรา ฆ่าเพลี้ย และฆ่าหนอนในสวนทุเรียน..
“ชาวสวนทุเรียนที่ถูกตกเขียวเหมือนตายทั้งเป็น หนีเสือเจออสรพิษร้าย เพราะนายทุนเริ่มออกลาย นอกจากเล่นเกมยื้อเวลาตัดทุเรียนช้าแล้ว ยังกดราคารับซื้อทุเรียนภูเขาไฟต่ำติดดิน ยกตัวอย่างบางสวนรับซื้อในแบบคัดในราคา 40-80 บาท โดยทุเรียนเกรด AB 75-80 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนทุเรียนตกไซด์ (ทุเรียนลูกใหญ่ 5.5 กิโลกรัมขึ้นไป , ทุเรียนต่ำกว่า 2.5 กิโลกรัม และทุเรียนเป็นเข้กับโบ้) รับซื้อ 40 บาทต่อกิโลกรัม” ชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟรายหนึ่งเปิดใจรับสภาพ
ซ้ำรายกว่านั้น ชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟที่เข้าร่วมเครือข่ายลูกสวนผ่านขบวนตกเขียวของนายทุนใหญ่ ยังโชคร้ายหนักขึ้นไปอีก เพราะนอกจากถูกกดราคาซื้อทุเรียนค่ำติดดินแล้ว ถึงตอน “คัดทุเรียน” เชื่อหรือไม่ ทุเรียนภูเขาไฟลูกสวยๆ ของสวนแปลงหนึ่งตัดได้ล็อตแรก 4 ตัน หรือ 4,000 กิโลกรัม ถูกคัดเป็นทุเรียนเกรด AB ได้ 800 กิโลกรัม ในราคารับซื้อ 75 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนทุเรียนที่เหลือ (อ้างว่าตกไซด์) อีก 3,200 กิโลกรัม จะรับซื้อในราคา 40 บาทเท่านั้น หรือบางสวนยิ่งหนักเข้าไปอีก ทุเรียน 1 ต้น คัดทุเรียนเกรด AB ได้ 3 ลูก จากทุเรียนเต็มต้น 30 ลูก.. โอ้พระเจ้าช่วยทุเรียนทอด (กล้วยทอด).. ทำไมถึงกดราคาได้ขนาดนี้!
ชาวสวนทุเรียนบางรายต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมขายทุเรียนในราคาตกเขียว เพราะไปรับเงินนายทุนรายนี้มาแล้ว ส่วนชาวสวนบางรายลุกขึ้นสู้หาเงินไปคืนนายทุน แต่ไม่ได้คืนแค่เงินต้น แต่ต้องบวกดอกเบี้ย++ เข้าไปอีก.. ถึงตอนนี้ถึงเชื่อคำเตือนที่ว่า.. บ่มีอีหยังฟรีในโลกนี้เด้อพี่น้อง!
ชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟรายที่ถูกตกเขียวรายหนึ่งถึงกับพูดว่า.. ปีนี้กูพลาดแล้ว หลงเชื่อนายทุนตกเขียว ปีหน้าบ่เอาแล้ว เจ็บแล้วจำ บักฮู้ขี้ฮู้ดาก!

บทสรุป ชาวสวนทุเรียนไทยต้องเผชิญกับธรรมชาติแปรปรวน ฟ้าฝนไม่เป็นใจ เผชิญกับราคาทุเรียนตกต่ำ จากตลาดใหญ่อย่างจีนเข้มงวดนำเข้าทุเรียนปนเปื้อนสารพิษ เผชิญกับการลักลอบนำเข้าทุเรียนราคาถูกจากเวียดนามมาถล่มตลาด และเผชิญกับ “เหลี่ยมนายทุนขาใหญ่”
ประเด็นร้อนของชาวสวนทุเรียนเหล่านี้ น่าจะดังถึงหูนายกฯ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน สำนักงานพาณิชย์จังหวัดศรีสะเกษ เจ้าหน้าที่ตามด่านค้าชายแดนไทย-กัมพูชา (ช่องจอม-ช่องสะงำ) โดยเฉพาะคนในพื้นที่อย่างผู้ว่าราชการจังหวัด หอการค้าสุรินทร์และศรีสะเกษ.. แนะลงมาดูพื้นที่่จริง ปัญหาจริงและชาวสวนเจ็บจริงๆ กันบ้าง..
สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์ ทำหน้าที่สะท้อนความจริงแล้ว บรรดา ฯพณฯ ท่านๆ จะรับลูกแค่ไหน.. จับตาชนิดอย่ากะพริบ!