
จากสถานการณ์ราคาทุเรียนที่ตกต่ำ และปัญหาการกดราคาจากล้งหรือเถ้าแก่ ซึ่งเป็นปัญหาที่ชาวสวนหลายท่านต้องเผชิญ การรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ที่สามารถพิจารณาได้..
ชี้รวมกลุ่มชาวสวนทุเรียน พลังต่อรองมากที่สุด!
การรวมกลุ่มชาวสวน
นี่เป็นวิธีที่มีพลังมากที่สุดในการต่อรอง ชาวสวนควรรวมกลุ่มกันเป็น สหกรณ์การเกษตร หรือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง เมื่อมีผลผลิตจำนวนมากอยู่ในมือกลุ่มเดียว จะมีอำนาจต่อรองกับเถ้าแก่หรือล้งได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่รายบุคคล
กำหนดราคาขั้นต่ำ ตกลงราคาร่วมกันในกลุ่ม เพื่อไม่ให้เถ้าแก่กดราคาได้ตามอำเภอใจ
ควบคุมคุณภาพตรวจสอบและคัดแยกทุเรียนให้ได้มาตรฐานเดียวกันทั้งกลุ่ม เพื่อให้เถ้าแก่ไม่สามารถอ้างเรื่องคุณภาพต่ำมาลดราคาได้
บริหารจัดการผลผลิต โดยการวางแผนการเก็บเกี่ยวร่วมกัน เพื่อไม่ให้ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันมากเกินไปจนราคาตก
หาตลาดใหม่ๆ..
ชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟต้องแสวงหาช่องทางการตลาดใหม่ๆ ไม่พึ่งพาเถ้าแก่รายเดียวมากเกินไป เพราะไม่ต่างจากการก็ “ถูกผูกขาด” โดยลองมองหาช่องทางอื่นเพื่อกระจายความเสี่ยง
ทั้งการขายตรงถึงผู้บริโภคขายผ่านตลาดออนไลน์ ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย (Facebook, TikTok) หรือ E-commerce (Shopee, Lazada) สร้างแบรนด์ทุเรียนของคุณเอง จัดส่งตรงถึงลูกค้า
รวมถึงขายผ่านตลาดท้องถิ่นตลาดนัด โดยนำทุเรียนไปขายเองในตลาดเกษตรกร หรือเปิดแผงขายหน้าสวน สร้างเครือข่ายลูกค้าประจำ การบอกต่อสร้างฐานลูกค้าที่รู้จักและชื่นชอบทุเรียนของคุณ

กระจายความเสี่ยง ติดต่อล้งหลายราย
ชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟต้องใช้วิธีกระจายความเสี่ยง โดยติดต่อผู้ประกอบการรายอื่นๆ มองหาล้งหรือผู้ส่งออกเจ้าอื่นที่มีความเป็นธรรมมากกว่า
รวมถึงการแปรรูปทุเรียน หากทุเรียนมีปริมาณมากและราคาตก ลองนำไปแปรรูปเป็นสินค้าอื่น เช่น ทุเรียนกวน, ไอศกรีมทุเรียน, ขนมต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าและยืดอายุสินค้า
แนะสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า!
แนะชาวสวนฯ สร้างมูลค่าเพิ่มและควบคุมคุณภาพ โดยยกระดับคุณภาพทุเรียน ปฏิบัติตามมาตรฐาน GAP และทุเรียนอินทรีย์ มีใบรับรองมาตรฐานเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและราคาทุเรียนได้
บำรุงรักษาต้นทุเรียนอย่างดีให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีเยี่ยมและสม่ำเสมอ
อย่าทุบหม้อข้าวตัวเอง! หยุดตัดทุเรียนอ่อน
การตัดที่เหมาะสม โดยจะต้องตัดทุเรียนเมื่อแก่จัดได้ที่ เพื่อให้ได้รสชาติและคุณภาพที่ดีที่สุด ซึ่งจะทำให้เถ้าแก่มีข้ออ้างในการกดราคาได้ยากขึ้น
สร้างแบรนด์ทุเรียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นแบรนด์ใหญ่ แต่การมีชื่อสวน ชื่อตราสินค้า หรือเรื่องราวที่มาของทุเรียน จะช่วยให้ผู้บริโภคจดจำและเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น
ติดตาม “ราคากลางทุเรียน” ดูสัญญาซื้อขายให้ละเอียด
ชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟควรศึกษาข้อมูลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะราคากลางทุเรียน ติดตามข้อมูลราคาทุเรียนจากแหล่งต่างๆ เช่น กรมการค้าภายใน หรือข่าวสารเกษตร เพื่อให้รู้ราคาตลาดและไม่ถูกกดราคาเกินจริง
ทั้งนี้ ข้อตกลงและสัญญาเป็นสิ่งสำคัญ หากมีการทำสัญญาซื้อขายกับล้ง ชาวสวนทุเรียนฯควรอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขอย่างละเอียด และไม่ควรเซ็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
และควรปรึกษาหน่วยงานรัฐ หากถูกเอาเปรียบอย่างชัดเจน สามารถปรึกษาหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการค้าภายใน, สำนักงานพาณิชย์จังหวัด, หรือสำนักงานเกษตรจังหวัด เพื่อขอคำแนะนำหรือร้องเรียน
รวมถึงการเจรจาและการสื่อสารซื้อ-ขายทุเรียน โดยการเจรจาอย่างมีข้อมูล เมื่อต้องเจรจากับเถ้าแก่ ควรมีข้อมูลราคาตลาดในมือ เพื่อนำมาอ้างอิงในการต่อรอง
มีการบันทึกหลักฐาน หากมีการตกลงปากเปล่า ควรมีพยาน หรือหากเป็นไปได้ให้บันทึกเสียง หรือขอใบรับรองการซื้อขาย เพื่อเป็นหลักฐานหากเกิดปัญหา
สร้างความสัมพันธ์ที่ดี แม้จะถูกเอาเปรียบในบางครั้ง แต่การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับล้งหลายๆ เจ้าก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มีทางเลือกในการขาย
การรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมือและความมุ่งมั่นจากชาวสวนด้วยกันเอง หากชาวสวนทุเรียนสามารถรวมกลุ่มกันได้อย่างเข้มแข็ง จะมีพลังในการต่อรองและจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น

พื้นที่ปลูกทะลุสองหมื่นไร่.. ปีนี้ผลผลิตฉ่ำ 20,550 ตัน
จากการสำรวจข้อมูลพื้นที่ปลูกและผลผลิตทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษสำหรับปี 2567 และปี 2568 มีดังนี้..
ในปี 2567 พบว่า มีพื้นที่ปลูกทุเรียนภูเขาไฟ จำนวน 17,787 ไร่ โดยพื้นที่ให้ผลผลิตแล้ว จำนวน 11,176 ไร่ (เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 25) ส่วนผลผลิตรวม: 17,971 ตัน มีจำนวนเกษตรกร: 2,559 ครัวเรือน (ข้อมูลอ้างอิงจาก นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ณ วันที่ 19 มีนาคม 2567)
ขณะที่ปี 2568 มีพื้นที่ปลูกทุเรียนภูเขาไฟทั้งหมด: 20,463 ไร่ โดยพื้นที่ให้ผลผลิต จำนวน 14,260 ไร่ (เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2,876 ไร่)
มีปริมาณผลผลิตทุเรียน (คาดการณ์) จำนวน 20,550 ตัน มีผลผลิตเฉลี่ย: ประมาณ 141 กิโลกรัม/ไร่ (จากข้อมูลของเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ)
ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า จังหวัดศรีสะเกษเป็นแหล่งปลูกทุเรียนที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เนื่องจากมีเอกลักษณ์โดดเด่น คือ "กรอบนอก นุ่มใน หวานละมุนลิ้น กลิ่นไม่ฉุน" มีการจัดงานเทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษเป็นประจำทุกปี เพื่อส่งเสริมการตลาดและการท่องเที่ยว
ร้องผู้ว่าฯ เร่งแก้ราคาทุเรียนตกต่ำ!
อย่างไรก็ตาม เป็นที่จับตาว่า ขณะนี้ผลผลิตทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน ไปจนถึงสิงหาคม 2568 ปรากฏว่า มีเถ้าแก่รายใหญ่ (บางราย) ที่จ่ายเงินตกเขียวทุเรียนภูเขาไฟ (จ่ายเงินให้ชาวสวนล่วงหน้า) กดราคารับซื้อทุเรียนภูเขาไฟ จนทำให้ชาวสวนฯ เดือดกันถ้วนหน้า โดยราคารับซื้อทุเรียนภูเขาไฟหน้าสวนแบบคัดเกรด A 85 บาทต่อกิโลกรัม ตกไซด์ด้วย 40 บาทต่อกิโลกรัม และแบบคว่ำหนาม ราคา 65 บาทต่อกิโลกรัม (เหมาหมด แต่คัดทุเรียนที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 1 กิโลกรัม และหนักเกิน 5.5 กิโลกรัมออก) ทำให้ชาวสวนฯ มีรายได้ไม่พอจ่ายค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าแรงและค่าหนี้ ซึ่งราคารับซื้อทุเรียนภูเขาไฟปีนี้ สวนทางกับราคาทุเรียนภูเขาไฟปีที่แล้ว 100-150 บาทต่อกิโลกรัมหรือล้ง-เถ้าแก่รับซื้อแบบคว่ำหนาม (เหมาสวนรับทุกลูก ทุกไซด์ ไม่เกี่ยงงอนเหมือนปีนี้)

บทสรุป.. ประเด็นร้อนทุเรียนภูเขาไฟ จึงหวังว่า กรมการค้าภายใน , พาณิชย์จังหวัดศรีสะเกษ โดยอย่างยิ่ง นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ จะต้องตื่นตัวและควรลงพื้นที่เข้ามาตรวจสอบและดูแลชาวสวนทุเรียนภูเขาไฟ จากกรณีปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง!