
เมื่อพรรคส้มกำหนดแนวทางหนักแน่น บังคับทิศทางให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ
ประกาศไว้ก่อนว่า จะไม่เอาพรรคน้ำเงิน ยิ่งพรรคเทายิ่งไม่เอา ลืมไปได้เลย
พรรคส้มบอกว่า ทุกพรรคที่จะมาร่วมรัฐบาลกับพรรคส้ม จะต้องรับเงื่อนไขทุกข้อของพรรคส้มเท่านั้น
หากทำงานร่วมกันแล้วไม่ทำตามเงื่อนไข ก็จะขอไม่ทำงานด้วย
แต่การเมืองเป็นเรื่องของการประนีประนอม ไม่ใช่การยึดถือเอาตัวเองเป็นหลัก
ความหลากหลายคือ…สิ่งสวยงามของประชาธิปไตย
จะไปบังคับให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเชื่อไม่ได้
สิ่งที่พรรคส้มเชื่อ หลายครั้งก็แสดงถึงความผิดพลาดด้วยซ้ำ
อย่าไปหลงตัวเองว่าเป็น “พรรคเทพ” และผลักไสคนเห็นต่างเป็น “พรรคมาร”

“ความเชื่อมั่น” เป็นสิ่งที่ดี แต่หากมีมากไปจะกลายเป็น “การหลงตัวเอง”
เรื่องแบ่งขั้ว “พรรคเทพ” และผลักให้ฝั่งตรงข้ามเป็น “พรรคมาร” เคยเกิดขึ้นมาทุกครั้งที่มีการหาเสียงในอดีต
เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่า ตัวเองเป็นเทพ ไม่ไปแปดเปื้อนข้องเกี่ยวกับมาร
นึกไม่ถึงว่ายุคนี้จะมี “การเมืองแบบย้อนยุค” ทั้งที่บอกว่าเป็น “การเมืองใหม่”
ตั้งตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ที่บริสุทธิ์ มีความคิดที่บอกว่าซื่อๆ ตรงๆ
ไม่มีใต้ดิน ไม่เอาคือไม่เอา หากจะเอาต้องทำตามนี้เท่านั้น เหมือนอยู่ใน “ยุคพระศรีอริยฯ”
ใครฟังต้องชื่นชมในความจริงใจ ต้องการให้ประเทศเป็นไปในทิศทางดั่งที่ตัวเองกำหนดเอาไว้
ไม่มีการประนีประนอม ยึดมั่นถือมั่นในแนวทางของตัวเอง
แต่เบื้องหลังผลิตผลของแนวคิดนี้ กลับส่งผลผลักดันให้พรรคส้มโดดเดี่ยวมากขึ้น
การเมืองเป็นเรื่องของการบาลานซ์อำนาจ ไม่ใช่การบังคับให้เชื่อให้ปฏิบัติตามความต้องการของตัวเองเพียงอย่างเดียว

สิ่งที่พรรคส้มกระทำอยู่อาจเรียกได้ว่าเป็น “เผด็จการรุ่นใหม่”
ที่ต้องการสังคมบริสุทธิ์ผุดผ่อง หากใครไม่เชื่อฟังก็จะไม่คบค้าสมาคมด้วย แล้วมันจะเหลือใครให้พรรคส้มร่วมงาน ?
จะมีนักการเมือง ข้าราชการ กลุ่มทุน หรือกลุ่มอำนาจต่างๆ ที่ไหน ยอมเข้าแถวเชื่อฟังพรรคส้มที่ขึ้นมาบนบังลังก์แบบ “ยอมหัก ไม่ยอมงอ” ได้
เพราะเอาจริงแล้ว พรรคส้มไม่ได้มีความแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ ที่มี “นายทุนพรรค”
ไม่ใช่อย่างที่คุณธนาธรสื่อว่า “มีความเสมอภาค”
เพราะปัญหาในพรรคส้มเองก็สะท้อนให้เห็น

เมื่อถึงเวลาคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส. ก็ต้องขึ้นอยู่กับ “โปลิสบูโร” ของแกนนำพรรคเพียงไม่กี่คน
ตามสุภาษิตจีนที่ว่า “คนที่รวยที่สุด คือคนที่เสียงดังที่สุด”
เข้าใจว่าพรรคส้มพยายามให้ฐานเสียงเห็นว่า การตัดสินใจที่ผิดพลาดในการเลือกพรรคน้ำเงิน
ที่ผลสุดท้ายพรรคน้ำเงินฉวยโอกาสเอาคะแนนเสียง แต่พรรคส้มคว้าน้ำเหลว
จึงกลายมาเป็นกลยุทธ์ยกตัวเองที่เป็นพรรคเทพ ออกจากพรรคน้ำเงินที่เป็นพรรคมาร

บทนี้พรรคประชาธิปัตย์เคยเล่นมาก่อนแล้ว
เป็นเพียงการจัดฉากซีรี่ย์บนแพลตฟอร์มยุคใหม่ แทนละครหลังข่าวในทีวีที่ตกยุค
ผลลัพธ์เป็นได้แค่ผลักให้พรรคแดง พรรคน้ำเงิน พรรคเทา และสีอื่นๆ ไปรวมกัน
ทิ้งพรรคส้มไว้โดดเดี่ยวเหมือนเดิม
คนไทยขี้เบื่อ ใจร้อน หากจะให้เขาฝันซ้ำๆ ซากๆ ไปเรื่อยๆ
ไม่มีใครไปอดทนรอคุณธนาธรอีก 4 ปี หรอกครับ
โดย..ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์