
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ได้วิเคราะห์กรณีภาษีทรัมป์–จีน ทำให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทย ผลกระทบและทางออก ไว้อย่างน่าสนใจ โดยระบุว่า..

1. ภาษีทรัมป์ทำการค้าเบี่ยงเบน (Trade Diversion)
หลังจากที่ภาษีทรัมป์ หรือ ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) มีผลบังคับในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 (ตามเวลาในสหรัฐฯ) อัตราภาษีที่สหรัฐฯ เก็บ 90 ประเทศทั่วโลก อยู่ในช่วง 15% ถึง 50% ประเทศส่วนใหญ่เจอภาษีทรัมป์ที่ 15% ประเทศที่เจอภาษีทรัมป์สูงสุดคือ อินเดียและบราซิล ที่ 50% ในขณะที่จีน ล่าสุดถูกเก็บภาษีที่ 30% และ จากข้อมูล USITC ( US International Trade Commission) พบว่าก่อนภาษีทรัมป์สินค้าจีนที่ส่งไปสหรัฐฯ เสียภาษีอยู่ระหว่าง 0% ถึง 25% (ภาษี 25% ที่สหรัฐฯ เก็บสินค้าจีนเป็นผลมาจากการใช้ มาตรา 301 ตาม กม. Trade Act 1974 ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลกทรอนิกส์ เครื่องจักร และเฟอร์นิเจอร์) ผลภาษีทรัมป์ทำให้สินค้าจีนส่งออกไปสหรัฐฯ “ยากขึ้น” สินค้าจีน จะถูกกระจายไปยังประเทศอื่นๆ ทั้งอาเซียน ตะวันออกกลาง และอัฟริกาแทน ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่สินค้าจีนจะส่งออกไปขายแทนที่สินค้าจีนที่เจอภาษีทรัมป์ เรียกว่า “เบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion)” ผลกระทบจากสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาไทยจะมีมากน้อยแค่ไหน บทวิเคราะห์นี้จะมีคำตอบ
2. เจรจาภาษีสหรัฐฯ กับ จีน “ไร้ทางออก”
ตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 (20 มกราคม 2568) สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 10% แล้วขึ้นไปสูงสุดที่ 145% ในขณะที่จีนก็เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 10-15% แล้วขึ้นไปที่ 125% เช่นกัน ต่อมาสหรัฐฯ ได้ปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนล่าสุดที่ 30% และจีนได้ปรับลดเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 10% (ทั้งสองประเทศตกลงลดลง 115% สหรัฐฯ ลดจาก 145% เหลือ 30% ส่วนจีนลดลงจาก 125% เหลือ 10%) การปรับลดดังกล่าวเป็นผลมาจากการประชุมที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2568 โดยฝ่ายจีนมีนาย He Lifeng รองนายกฯ ฝ่ายสหรัฐฯ มีรัฐมนตรีพาณิชย์ Scott Bessent และ USTR นาย Jamieson Greer ผลการประชุมที่กรุงเจนีวาทั้งสองประเทศยังตกลงให้มีการเจรจาทางการค้าเพิ่มเติมอีก 90 วัน (นับจากวันที่ 12 พ.ค. 2568 ถึงวันที่ 12 ส.ค. 2568) หลังจากนั้นมีการเจรจาครั้งที่ 2 ที่กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2568 แต่ประชุมครั้งนี้ไม่มีข้อสรุปใด และเมื่อ 11 สิงหาคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ลงนามใน Executive Order เพื่อขยายการระงับการขึ้นภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีนอีก 90 วันไปสิ้นสุดที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ทำให้สถานะล่าสุดที่สหรัฐฯ เก็บจากสินค้าจีนอยู่ที่ 30% และจีนก็เก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ที่ 10%

3. สินค้าจีน “ปัญหาหนักเศรษฐกิจสหรัฐฯ”
ปี 2024 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากทั่วโลก มูลค่า 3.3 ล้านล้านเหรียญ ส่งออก 2.1 ล้านล้านเหรียญ ทำให้ขาดดุล 1.2 ล้านล้านเหรียญ โดยนำเข้าจากเม็กซิโกมากสุด สัดส่วน 15.5% (ถูกเก็บภาษี 25%) ตามด้วยนำเข้าจากจีนเป็นอันดับสองสัดส่วน 13.4% (ถูกเก็บภาษี 30%) นำเข้าจากเวียดนาม 4.2% (ถูกเก็บภาษี 20%) นำเข้าจากไทยสัดส่วน 1.9% (ถูกเก็บภาษี 19%) ในขณะที่จีนส่งออกไปสหรัฐฯ ช่วง 19 ปีที่ผ่านมา (2006-2024) เพิ่มจาก 2 แสนล้านเหรียญ เป็น 5 แสนล้านเหรียญ (ปี 2018) และได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ จากระดับ 2 แสนล้านเหรียญ สูงสุดที่ 4 แสนล้านเหรียญ (ปี 2018) แม้ว่าในปี 2024 จีนได้ดุลการค้าลดลงเหลือ 2.9 แสนล้านเหรียญก็ตาม ก็ถือว่ายังเป็นตัวเลขที่สูงมาก และยังเป็นปัญหาหนักของสหรัฐฯ ที่ต้องพึ่งพิงสินค้าจีนที่หลายรัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่สามารถแก้ไขได้ สินค้าจีน 70% ในห้าง Walmart มาจากประเทศจีน (Axios,Trump tariffs would hit Walmart hard, 2023)


4. ประเมินสินค้าจีน “ทะลักเข้าไทย” หลังภาษีทรัมป์บังคับใช้
ภายใต้ภาษีทรัมป์ ทำให้สินค้าจีนส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง ขณะที่จีนยังคงรักษาระดับการผลิตเท่าเดิม สินค้าจีนที่ลดลงเหล่านั้น หันไปส่งออกไปประเทศอื่นแทน บทวิเคราะห์นี้ศึกษาว่าปัจจุบันสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าจีน 30% จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าจีนเข้ามาในไทยมากแค่ไหน (Trade Diversion) โดยบางส่วนประยุกต์ใช้ผลการศึกษาของ The Observatory of Economic Complexity (OEC) โดยบริษัท Datawheel ซึ่งตั้งอยู่ที่ รัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) เมื่อ วันที่ 28 กรกฎาคม 2025 โดย NBCLosAngeles มีการวิเคราะห์ผลกระทบของภาษีทรัมป์ต่อสินค้าจีนโดยแบบจำลอง “tariff simulator” พบว่า การส่งออกจากจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงถึง $485 พันล้าน ภายในปี 2027 โดยบทวิเคราะห์นี้พบว่า ถ้าเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 30% จีนส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงหายไป 300 พันล้านเหรียญ ใน 3 ปีข้างหน้า

จากการลดการนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ มูลค่า 301.7 พันล้านเหรียญ ทำให้เกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) จากตลาดสหรัฐฯ ไปสู่ตลาดอื่นๆ ประเทศไทยเป็นประเทศที่สามในอาเซียนที่สินค้าจีนจะทะลักเข้ามาขาย รองจากเวียดนาม และมาเลเซีย โดยเข้ามาในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วน 2.4% ของสินค้าจีนที่ขายไปสหรัฐฯ ไม่ได้ ซึ่งจากการวิเคราะห์ช่วงปี 2025-2028 พบว่า กรณีที่สหรัฐฯ ไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 30% ไทยนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มจาก 83,467 ล้านเหรียญ เป็น 105,632 ล้านเหรียญ และกรณีที่สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 30% ไทยนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มจาก 2,052 ล้านเหรียญ เป็น 2,597 ล้านเหรียญ ทำให้ไทยนำเข้าสินค้าจีนรวมทั้ง 2 กรณีเพิ่มจาก 85,520 ล้านเหรียญ เป็น 108,230 ล้านเหรียญ และไทยขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มจาก 46,660 ล้านเหรียญ เป็น 63,630 ล้านเหรียญ นั้นหมายความว่า ผลภาษีทรัมป์ ที่เก็บกับสินค้าจีน 30% ทำให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาในไทยมูลค่า 69,781 ล้านบาท ถึง 88,298 ล้านบาท

สำหรับสินค้าจีนที่คาดว่าจะส่งออกมาประเทศไทย หลังจากที่ส่งไปขายในสหรัฐฯ ลดลง ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ เครื่องใช้สำหรับโทรคมนาคมและอุปกรณ์เครือข่าย รถยนต์ (สำเร็จรูป/ชิ้นส่วน) และคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เป็นต้น

5. สรุปผลการศึกษา
1. ช่วง 3 ปีข้างหน้า สินค้าจีนจะเข้ามาในประเทศไทยสูงสุดในรอบ 10 ปี ทั้งจากนโยบายรัฐบาลจีนและภาษีทรัมป์ ส่งผลทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากเป็นประวัติการณ์
2. สินค้าจีนที่เข้ามาตามนโยบายรัฐบาลจีนมีทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม แต่ผลของภาษีทรัมป์จะทำให้สินค้าอุตสาหกรรมจีนส่วนใหญ่เข้ามาในไทย
3. สินค้าจีนที่ทะลักเข้าไทยมากน้อยแค่ไหนตามภาษีทรัมป์ ขึ้นกับผลการเจรจาการค้าสหรัฐฯ กับ จีนที่จะสิ้นสุด ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 หากมากกว่า 30% จะส่งผลต่อสินค้าจีนที่จะทะลักเข้ามาในไทยมากกว่าที่ประเมินไว้ข้างต้น

6. ข้อเสนอแนะ
1. สร้างระบบการเตือนภัยและติดตามล่วงหน้า (Early-Warning) สินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาไทย
2. คุมกฎถิ่นกำเนิดอย่างโปร่งใส และทำระบบการตรวจสอบย้อนกลับกับหน่วยงานสหรัฐฯ สำหรับสินค้าที่มีความเสี่ยงถูกตีความเป็น transshipment ไปสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี 40%
3. สร้างมาตรการนำเข้าเข้มข้นสินค้าจีนทั้งคุณภาพและมาตรฐานเพื่อให้ SMEs ไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าจีนได้
4. ตั้งกองทุนปรับตัวอุตสาหกรรมเพื่อ SMEs ช่วยในการปรับตัวแข่งขันกับสินค้าจีน

หมายเหตุ:
7. เอกสารอ้างอิง
1. “Trump Administration’s Section 301 Tariffs on China” (CRS Report R46604) ถูกเผยแพร่โดย Congressional Research Service, 14 December 2020
2. Federal Register ของ Office of the United States Trade Representative ภายใต้ Section 301 of the Trade Act of 1974
3. “Trump's sweeping new tariffs take effect against dozens of countries”, Osmond Chia
Business reporter, BBC News, 7 Aug 2025
4. Axios,Trump tariffs would hit Walmart hard (มีข้อมูลปี 2023)