
น่าแปลกไหม! กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่เป็นของรัฐแท้ๆ แต่กลับขวนขวายหา "มืออาชีพ" จากภาคเอกชนเข้ามาบริหารกองทุนเพื่อสร้างดอกผลกำไรให้แก่ข้าราชการ
แต่ "กองทุนประกันสังคม (สปส.)" ที่เป็นเงินลงขันของ "นายจ้าง-ลูกจ้าง" แท้ๆ (รัฐแค่เข้าไปให้การสนับสนุน) กลับขนเอาข้าราชการเข้ามานั่งบอร์ด วางนโยบายบริหารกองทุนเต็มตัว ขรก.เหล่านี้ รู้และมีความเชี่ยวชาญการลงทุนหรือ นอกจากรับ "ใบสั่ง"
…
นาทีนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลพวงจากการที่ "ไอซ์ - รักชนก ศรีนอก" สส.กทม.พรรคประชาชน ที่ออกมา "ดับเครื่องชน" นักการเมืองระดับรัฐมนตรีและผู้บริหารกองทุนประกันสังคม (สปส.) อย่าง "ถึงพริกถึงขิง" ได้ทำให้ผู้คนในสังคมหันกลับมาให้ความสนใจในการตรวจสอบเม็ดเงินสบทบที่ตนจ่ายไปยังกองทุน สปส. อย่าง "ใกล้ชิด"
ไม่เพียงแต่กรณีเปิดโปงการผลาญงบกว่า 7,000 ล้าน ซื้อตึก Skyy9 Centre ย่านพระราม 9 โดยไม่ดูกำลังตนเองเลยว่า ชาตินี้จะได้ผลตอบแทนกลับคืนให้กองทุนได้หรือไม่?

โดยเฉพาะการออกมาเปิดโปงการถลุงงบปีละกว่า 50-60 ล้าน จัดทำปฏิทินประกันสังคม จนนำมาสู่การที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ต้องจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์สำรวจความเห็นถึงการ "ยกเลิก" จัดทำปฏิทินที่ว่านี้ ซึ่งผลสำรวจที่ได้นั้น ทั้งนายจ้าง-ลูกจ้าง กว่าร้อยละ 60 ต้องการให้ "ยกเลิก" การจัดทำปฏิทินดังกล่าวไปเสีย
แต่ดูเหมือน สปส. ก็ยังคง "มั่นหน้า" เดินหน้าจัดทำปฏิทินปี 2569 (และยังมีแผนจัดทำปฏิทินในปีต่อๆ ไปอีก) ด้วยข้ออ้างเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่สามารถให้ข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกันตนที่สุดในสามโลกแล้ว และยังมีผู้ประกันตนอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถจะเข้าถึงสื่อดิจิทัลได้ จำเป็นต้องพึ่งพาปฏิทินประกันสังคมอยู่
ไหนจะเรื่องที่กองทุน "หมกเม็ด" วิธีการคำนวณบำเหน็จบำนาญชราภาพของผู้ประกันตน ที่อ้างระเบียบกดบัดกฎหมายเอาเปรียบผู้ประกันตนมานับทศวรรษ จนนำมาสู่การรื้อโครงสร้างการคำนวณบำนาญชราภาพใหม่ยกกระบิ คืนความเป็นธรรมให้ผู้ประกันตนทั้ง 12 ล้านคนได้
เป็นการ "ตอบคำถาม" นักการเมืองระดับ "รัฐมนตรี" ที่ออกมาถามผู้คนในสังคมว่า "สส.ไอซ์ ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับประเทศชาติบ้าง นอกจากวิ่งหาแสง"
สำหรับ “สำนักข่าวเนตรทิพย์" แล้ว คงต้องฝากให้ทุกฝ่าย (โดยเฉพาะสำนักงานประกันสังคม สปส.) ได้ตระหนัก การที่กองทุน สปส. เอาแต่ยึดโยงกับระบบราชการที่ฝังรากลึกอยู่ในองค์กรจนลืมไปแล้วว่า กองทุนประกันสังคมที่มีมากกว่า 2.65 ล้านล้านนั้น
มันไม่ใช่เงินของรัฐแต่ฝ่ายเดียว ตรงกันข้าม มันคือเงินลงขันระหว่าง "นายจ้าง-ลูกจ้าง" โดยมีเงินสมทบของรัฐเข้าไปร่วมยาไส้อยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น

บทบาทของกองทุนฯ ที่เกิดมาจากเงินลงขันระหว่าง "นายจ้าง-ลูกจ้าง" จึงควรเป็นเรื่องที่บอร์ดและผู้บริหารกองทุนจะต้องขวนขวายแสวงหา "มืออาชีพ" เข้ามาทำหน้าที่บริหารกองทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและเหมาะสมให้แก่ผู้ประกันตนที่มีอยู่ร่วม 12 ล้านคน
ไม่ใช่ไปลากเอาข้าราชการหรืออดีตข้าราชการ มานั่งเป็นบอร์ดหรือคณะทำงานอะไรต่อมิอะไรอยู่เต็มลำเรืออย่างที่เห็น ข้าราชการหรืออดีตข้าราชการเหล่านี้ มีความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญอะไรในการบริหารเม็ดเงินหรือ
นอกจากรับ "ใบสั่ง" ฝ่ายการเมืองไปวันๆ น่ะ!
น่าแปลกไหม! กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ Government Pension Fund หรือ กบข. ที่เป็นของรัฐแท้ๆ แต่กลับขวนขวายแสวงหา "มืออาชีพ" จากภาคเอกชนเข้ามาเป็น CEO บริหารกองทุนที่มีอยู่ราว 1.43 ล้านล้านเพื่อสร้างดอกผลกำไรให้แก่ข้าราชการ ลูกจ้างรัฐ ที่เป็นสมาชิกกองทุนที่มีอยู่ราว 1.26 ล้านคน

แต่ "กองทุนประกันสังคม" ที่เป็นเงินลงขันของ "นายจ้าง-ลูกจ้าง" แท้ๆ (รัฐแค่เข้าไปให้การสนับสนุนส่วนน้อย) ที่มีสมาชิกอยู่ร่วม 12 ล้านคน และมีเม็ดเงินกองทุนกว่า 2.65 ล้านล้านบาท กลับขนเอาข้าราชการเข้ามานั่งบอร์ด วางนโยบายบริหารกองทุนเต็มตัว
ข้าราชการเหล่านี้รู้และมีความเชี่ยวชาญในการลงทุน หรือนอกจากรับ "ใบสั่ง" เหตุใดกองทุนจึงไม่พยายามสรรหามืออาชีพเข้ามาบริหารกองทุน เพื่อสร้างดอกผลกำไรให้แก่ผู้ประกันตน แต่กลับไป "ติดยึด" อยู่กับกฎหมายที่ปล่อยให้นักการเมือง "ล้วงลูก"เข้ามา "หาแดก" (ขออภัยที่ต้องใช้คำนี้) เอาง่ายๆ
แม้แต่การแก้ไขกฎหมายเพื่อ "เปิดกว้าง" ให้มีการนำเงินไปลงทุนที่เหมาะสมก็ยังไม่สามารถกระทำได้ แต่กับการลงทุนซื้อ "ตึกร้าง" ตามใบสั่งที่นักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ด้วยกัน ยัง "ส่ายหน้า" ว่าลงทุนเข้าไปได้อย่างไรนั้น กองทุนและบอร์ด สปส. กลับตัดสินใจลงทุนไปอย่าง "ง่ายดาย"
ถึงเวลาหรือยังที่กระทรวงการคลังและรัฐบาลสมควรจะต้องพิจารณาทบทวนบทบาทกองทุน สปส. นี้ว่า สมควรให้คงอยู่ในสังกัด "กระทรวงแรงงาน" เช่นนี้ต่อไป แล้วปล่อยให้การเมือง "ล้วงลูก" เข้ามาตักตวงประโยชน์อยู่เช่นนี้ต่อไป หรือสมควรจะสังคายนาแก้ไขกฎหมายเพื่อเปิดกว้างในการแสวงหา "มืออาชีพ" เข้ามาบริหารกองทุน รวมทั้งเปิดกว้างในการลงทุนมากกว่าที่เป็นอยู่
หาไม่แล้ว อีกไม่กี่สิบปีข้างหน้าเราอาจได้เห็น "หายนะ" ของกองทุนประกันสังคม (สปส.) ที่ถูกปลิงแทะโลม-สูบเลือด ไปจนไม่เหลือเม็ดเงินผลตอบแทนเพียงพอจะไปหล่อเลี้ยงช่วยเหลือสมาชิกผู้ประกันตนได้อีกหรือ?