
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา นายธนน ศรีธนาโสฬส ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียน นายก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในประเด็นการใช้เงินของรัฐในการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 (รอบสุดท้าย) แต่กลับมอบสิทธิ์ในการถ่ายทอดให้เอกชน ซึ่งขัดต่ออำนาจหน้าที่ และ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช.) ในประเด็นที่มีส่วนสนับสนุนให้มีการกระทำความผิด จนก่อความเสียหายให้แก่รัฐและประชาชน
โดย นายธนน กล่าวว่า เงินที่ กกท.นำมาซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2022 ที่ได้รับจาก กสทช.นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเงินของรัฐด้วย ซึ่งควรจะมีการจัดสรรอย่างเท่าเทียม เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ ตามข้อตกลงที่มีกับ กสทช. แต่ กกท.กลับยกสิทธิ์ขาดทั้งหมดให้กับเอกชนเพียงรายเดียว (กลุ่มทรู) ทำให้ผู้รับใบอนุญาตใต้กำกับของ กสทช.รายอื่นไม่สามารถทำการแพร่ภาพการแข่งขันดังกล่าวได้ กระทบถึงประชาชนเป็นวงกว้าง ซึ่งขัดต่อกฎหมาย และแย้งกับเจตนารมณ์ของ กสทช.ที่สนับสนุนเงินงบประมาณไป
ส่วน กสทช. นั้น นายไตรรัตน์ ซึ่งเป็นผู้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่องการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกครั้งนี้ ซึ่งย่อมทราบถึงวัตุประสงค์และเงื่อนไขเป็นอย่างดี แต่กลับยินยอมให้เกิดข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรม และไม่สนใจกับการกระทำของ กกท. ที่ขายสิทธิ์ เอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนเพียงรายเดียว จนนำมาสู่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาชนนับล้าน การกระทำของนายไตรรัตน์ คือการไม่รักษาผลประโยชน์ของประชาชน ซ้ำยังเป็นการหนุนให้มีการทำความผิดเอื้อประโยชน์เอกชนอีกด้วย
“การกระทำของผู้ถูกร้องเรียนทั้งสองข้างต้น จึงขอให้ ป.ป.ช. ได้โปรดไต่สวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ว่าเป็นความผิดตามบทบัญญัติกฎหมายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ 2502 หน้าที่ 6 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับเสนอราคาตอ่หน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 หรือประมวลฎหมายอาญา”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 นางสาวกุลธิดา เกิดแก่นแก้ว ทนายความผู้ฟ้องคดีผู้ได้รับมอบอำนาจให้เป็นตัวแทน นายนพดล วงศ์วิหค ตัวแทนประชาชน เข้ายื่นฟ้องผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย, การกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ต่อศาลปกครองกลาง โดยขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาหรือมีมาตรการคุ้มครองและมีคำขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราวโดยเร่งด่วน
เนื่องจาก กกท. ในฐานะผู้ซื้อและได้รับลิขสิทธิ์การเผยแพร่เสียงเผยแพร่ภาพการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2022 จากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ FIFA ผ่านบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในมูลค่า 1,300 ล้านบาท โดยเงินจำนวนครึ่งหนึ่ง คือ 600 ล้านบาท มาจากกองทุนวิจัยและพัฒนาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
ส่วนที่เหลือได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ บริษัทค่ายมือถือชื่อดัง ซึ่งสนับสนุนเงินจำนวน 300 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนเสนอตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ 2543 ซึ่งเป็นการจัดสรรเงินจากกองทุนให้ไปซื้อลิขสิทธิ์เพื่อให้ประชาชนสามารถรับชมรายการดังกล่าวได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของคนด้อยโอกาสให้เข้าถึงและรับรู้ใช้ประโยชน์จากรายการดังกล่าวได้อย่างเสมอภาคกับบุคคลทั่วไป โดยไม่เลือกปฏิบัติและยังเป็นภารกิจของ กสทช. ที่ต้องกำกับดูแลให้การถ่ายทอดสดเป็นไปโดยถูกต้องตามกรอบของกฎหมาย
แต่ผลปรากฏว่า ทาง กกท. ทำสัญญาให้สิทธิ์ในการใช้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดเพียงบริษัทเดียว คือ บริษัทที่เป็นค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ ถ่ายทอดสดผ่านระบบ IPTV ระบบอินเทอร์เน็ตและระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงระบบอื่นๆ ของค่ายมือถือดังกล่าว แต่กลับมีการปิดกั้นช่องทางการเผยแพร่กล่องรับสัญญาณของค่ายมือถืออื่นและระบบอื่นๆ
การกระทำดังกล่าวเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของประกาศ mush have mush carry ที่ต้องการให้ประชาชนสามารถรับชมได้อย่างทั่วถึง และทุกช่องทาง ซึ่งการระงับดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายทั้ง 2 หน่วยงาน ถือว่าเป็นการละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการจัดสรรให้ประชาชนได้รับชมอย่างทั่วถึง และไม่เลือกปฏิบัติ
โดยตัวแทนประชาชน ระบุว่า มีประชาชนจำนวนเกือบ 1 ล้านคน ที่มีกล่องรับสัญญาณของระบบสัญญาณอินเทอร์เน็ตยี่ห้ออื่นๆ มากกว่า 1 ล้านคน ที่ไม่สามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ จึงทำให้ภาคประชาชนตัดสินใจเข้ายื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวเพื่อลดภาระให้กับประชาชน หากศาลจะมีความเห็นรับฟ้องและให้ไต่สวนเร่งด่วนในบ่ายวันนี้หรือในวันต่อๆ ไป ทีมกฎหมายก็พร้อมจะเข้าชี้แจงเรื่องดังกล่าว โดยพยานหลักฐานสำคัญ คือ ข้อกฎหมายตามที่ระบุไปข้างต้น และข้อกำหนดของกองทุนวิจัยและพัฒนาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พร้อมทั้งได้เตรียมพยานหลักฐานอื่นๆ ไว้เพื่อต่อสู้ในชั้นไต่สวนแล้ว