
“ซูเปอร์บอร์ด กสทช.” กระทุ้ง กสทช. ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการสื่อสารโทรคมนาคมตามอำนาจหน้าที่เข้มงวด แนะปัดฝุ่นประกาศควบรวมปี 53 มาใช้แทนประกาศไร้น้ำยาในปัจจุบัน เตือนบอนไซอำนาจตนเองระวังคอตกตามอดีต ป.ป.ช.
แม้เส้นทางการควบรวมกิจการโทรคมนาคม ระหว่าง บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่น กับ บมจ. โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค จะเดินมาถึงโค้งสุดท้ายที่คาดว่า จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัทเพื่ออนุมัติดีลควบรวมกิจการตามรายงานของที่ปรึกษาอิสระ (IFA) ในต้นเดือน เม.ย.นี้ โดยไม่รอการตรวจสอบจากคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สภาผู้แทน หรือผลการพิจารณาจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช.
ล่าสุด มีรายนงานว่า หนึ่งในกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. หรือ ซูเปอร์บอร์ด กสทช. เตรียมทำหนังสือถึงรักษาการ กสทช. ชุดปัจจุบัน เพื่อขอให้ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ อย่างเคร่งครัด พร้อมเสนอให้ กสทช. ยกเลิกประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกำกับดูแลการควบรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ปี 2561 ที่จำกัดอำนาจการยับยั้งการพิจารณาควบรวมกิจการที่เคยมี โดยเสนอให้ กสทช. ปัดฝุ่นนำเอาประกาศ กสทช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการควบรวมกิจการ ปี 2553 กลับมาใช้ เพื่อให้การกำกับดูแลกรณีควบรวมกิจการโทรคมนาคมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถที่จะพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติได้
ทั้งนี้ ซูเปอร์บอร์ด กสทช. เห็นว่า ประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกำกับดูแลการควบรวมกิจการปี 2561 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันนั้น มีปัญหาเรื่องความชอบด้วยกฎหมายและน่าจะขัดบทบัญญัติ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นควารมถี่ฯ เป็นการออกประกาศข้อบังคับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะตามประกาศ กสทช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการควบรวมปี 2553 แต่เดิมนั้น ให้อำนาจ กสทช. ที่จะพิจารณาระงับยับยั้งการควบรวมกิจการได้ หากเห็นว่าส่งผลกระทบต่อการแข่งขันและกระทบต่อตลาดโทรคมนาคมโดยรวม
“ในอดีตศาลอาญาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็เคยมีคำพิพ่ากษากรณีที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยออกระเบียบปรับค่าตอบแทนของตนเองว่า แม้จะมีอำนาจทำได้ แต่เป็นการออกระเบียบโดยมิชอบมาแล้ว จึงเห็นว่า กสทช. ควรยกเลิกประกาศ กสทช. ปี 2561 ที่ลดทอนอำนาจของตนเองอย่างชัดเจน และปัดฝุ่นนำเอาประกาศ กสทช. ปี 2553 กลับมาใช้บังคับ เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”