เห็นผู้บริหาร บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนลเอวิเอชั่น จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), บริษัทบีทีเอส กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นพันธมิตรร่วมทุนผู้ชนะโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก ที่เพิ่งเซ็นสัญญากับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ไปเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา
หลังเซ็นสัญญาทางกลุ่มก็ได้ออกมาแถลงความพร้อมในการลงทุนโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก วงเงินลงทุนกว่า 290,000 ล้านบาทนี้ โดยบริษัทได้จัดทำแผนพัฒนาโครงการดังกล่าวออกเป็น 4 ระยะ เพื่อให้เป็น “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation” รวมถึงการเป็นศูนย์กลางของ “มหานครการบินภาคตะวันออก” สานต่อเจตนารมณ์รัฐบาลที่ต้องการให้เกิดเป็นเมืองท่าและเมืองธุรกิจสำคัญของประเทศไทย
โดยระยะที่ 1 สร้างอาคารผู้โดยสารขนาดพื้นที่กว่า 157,000 ตารางเมตร รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 15.9 ล้านคนต่อปี พร้อมมีพื้นที่กิจกรรมเชิงพาณิชย์ อาคารจอดรถ ศูนย์ขนส่งภาคพื้นดิน และหลุมจอดอากาศยาน 60 หลุมจอด คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2567
ระยะที่ 2 เพิ่มอาคารผู้โดยสารขึ้นอีก 107,000 ตารางเมตร พร้อมติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) และระบบทางเดินเลื่อน รวมทั้งเพิ่มหลุมจอดอากาศยานอีก 16 หลุมจอด เพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด30 ล้านคนต่อปีคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ.2573
ส่วนระยะที่ 3 ขยายอาคารผู้โดยสารเพิ่มเติมจากระยะที่ 2 กว่า 107,000 ตารางเมตร พร้อมระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) อีก 1 ขบวน รวมทั้งเพิ่มหลุมจอดอีก 34 หลุมจอดรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 45 ล้านคนต่อปี แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2585 ส่วนระยะที่ 4 มีพื้นที่อาคารผู้โดยสารหลังที่สองเพิ่มขึ้นกว่า 82,000 ตารางเมตรรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 60 ล้านคนต่อปีพร้อมทั้งติดตั้งระบบ Check-in แบบอัตโนมัติ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2598
ทั้งนี้ นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่า แม้จะมีการมองว่าการลงทุนในเม็ดเงินมหาศาล แต่จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและเป็นระดับที่เหมาะสม ซึ่งบริษัทฯ ได้เตรียมแผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์และแผนในการสร้างระบบเชื่อมต่อการเดินทางภายในโครงการให้เชื่อมต่อกับระบบการขนส่งภายนอกทุกระบบ รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน และมองว่าโครงการนี้ไม่ได้มีเพียงสนามบิน แต่ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบิน โดยเฉพาะเมืองการบิน และ Free Trade Zone ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ สร้างมูลค่าให้กับโครงการได้ และมั่นใจว่าผลตอบแทนที่เสนอให้รัฐเป็นตัวเลขที่มีพื้นฐานจากข้อเท็จจริง
ไม่เพียงแต่โครงการพัฒนาสนามบินหนองงูเห่าและเมืองการบินตะวันออกจะประกาศความพร้อมในการดีเดย์โครงการเต็มสูบ เครือข่าย AIS ก็ประกาศนำเอา AIS5G เข้าไปปูพรมสนับสนุนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซีนี้ ทั้งทางบก น้ำ และอากาศเต็มตัวด้วย
โดยนายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ซีอีโอ เอไอเอส ได้จัดแถลงวิสัยทัศน์ AIS5G กับการพัฒนาประเทศไทย หลังวิกฤตโควิด-19 ไปวันก่อนว่า นอกจากการปูพรมเทคโนโลยี 5จี ในเขตพื้นที่ กทม.แล้ว AIS5G ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี สนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ทั้งภาคพื้น น้ำ และอากาศ
โดยการพัฒนา 5จี บนบกนั้น เป็นการเข้าไปพัฒนา Smart City ปฏิบัติอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อีอีซีให้ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือกับนิคมอุตสาหกรรมอมตะ หรือนิคมสหพัฒน์ หรือ WHA เป็นต้น ส่วนทางน้ำนั้น AIS ก็ร่วมกับการท่าเรือเข้าไปพัฒนา Smart e-port ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนระบบ อี-โลจิสติกส์ การทำธุรกิจผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
เช่นเดียวกับทางอากาศนั้นก่อนหน้านี้ เอไอเอส ได้เข้าไปพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาร่วมกับกองทัพเรือในเฟสแรกไปแล้ว ล่าสุดได้เพิ่มความร่วมมือกับกลุ่มบริษัทเอกชนที่ชนะการประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก คือ กกลุ่มบีบีเอส ให้ AIS5G เข้าไปพัฒนาสนามบินแห่งนี้ให้เป็น Smart Airport
เห็นแล้วก็ให้นึกถึง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน วงเงินลงทุนกว่า 240,000 ล้านของกลุ่มทุนซีพี ที่ลงนามกับการรถไฟแห่งประเทศไทย และสำนักงานอีอีซี ไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว กลับเงียบหายเข้ากลีบเมฆ จะขวบปีของการดำเนินงานแล้วยังไม่มีกระแสข่าวใดๆ เล็ดรอดออกมาเลยว่า ได้ดีเดย์เดินหน้าโครงการส่วนใดไปแล้วบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องของการเคลียร์หน้าเสื่อแนวพื้นที่ก่อสร้าง หรือโครงการพัฒนาที่ดิน 150 ไร่สถานีมักกะสัน
จนทำเอาผู้คนหวั่นไหวไปตามๆ กันกลัวว่า กลุ่มทุนยักษ์ซีพีจะถอดใจไปดื้อๆ ถ้ายังไงก็วาน รมว.คมนาคม ถามไถ่ไปยังผู้บริหารการรถไฟฯ ทีว่า โครงการนี้ยังเดินหน้าอยู่ไหม หรือว่าติดเชื้อไข้ไวรัสโควิด-19 จนกลับบ้านเก่าไปแล้ว!