ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์ รายงานว่า จากผลพวงของความคาราคาซังการประมูลโครงการเมืองสนามบิน 300,000 ล้านบาทนั้น
ล่าสุด ดร. มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้โพสต์เฟสบุ๊คในหัวข้อ ”อะไรจะเกิดหลังจากนี้” โดยระบุว่า..
จะเกิดอะไรกับประเทศไทยภายหลังกลุ่มบริษัท ซีพี กลายเป็นเอกชนรายแรกที่สามารถยื่นเอกสารการประมูลได้ แม้จะเลยเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งๆ ที่ธรรมเนียมปฏิบัติของราชการนั้นยึดถือมาตลอดว่า กำหนดเวลาเป็นเรื่องของความยุติธรรมที่ชัดเจน ใครมายื่นทันก็มีสิทธิ์ ไม่ทันก็หมดสิทธิ์ คือชัดเจนว่าเป็นขาวหรือดำ โดยไม่ต้องมาเถียงกันว่าที่มาสายเป็นเพราะรถติด ไปผิดที่ หรือมีเอกสารเยอะ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงทำให้ผมเกรงว่า
1. จากนี้ไปการมายื่นประมูลเลยกำหนด (ซึ่งแปลว่าคนอื่นเขายื่นกันหมดแล้ว) อาจเป็นเรื่อง สีขาว สีเทาหรือสีดำก็ได้ เพราะคนที่ทำผิดกติกาย่อมสามารถอ้างแนวคำตัดสินจากคดีนี้ ไปร้องต่อศาลปกครอง หรือเอาที่ง่ายกว่านั้นคือ ขอให้คณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างฯ ของโครงการนั้นๆ “ใช้ดุลยพินิจ” เองเลยว่า พฤติกรรมแบบใดที่ตนทำไปหรือเอกสารใดที่ตนยังไม่ได้ยื่น แต่ให้ถือว่ายอมรับได้หรือให้รับไว้เป็นส่วนหนึ่งของการประมูล เหตุนี้ย่อมทำให้หน่วยงานของรัฐเสียหายจากการหยุดชะงักล่าช้าออกไป
2. ข้าราชการจะมีอำนาจในการ “ใช้ดุลพินิจโดยไร้กรอบกติกาที่ชัดเจน” ซึ่งเสี่ยงที่จะเกิดการเลือกปฏิบัติและคอร์รัปชันได้ เพราะหลักเกณฑ์หรือแนวทางในเรื่องแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลยในกฎหมาย ข้อกำหนดหรือระเบียบใดๆ
3. การเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจโดยไร้กรอบกติกาเช่นนี้ ย่อมขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ที่ต้องการให้ใช้กติกาที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ มีการแข่งอย่างเท่าเทียม เปิดเผย และโปร่งใส เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
4. ผลของการมีอำนาจใช้ดุลยพินิจแบบนี้
ข้าราชการที่ดีและตั้งใจให้งานสำเร็จ จะเป็นทุกข์เพราะเสี่ยงติดคุก หากถูกร้องเรียนจากผู้เสียประโยชน์และถูกตรวจสอบจากต้นสังกัด หรือ ป.ป.ช. และ สตง.
ส่วนข้าราชการที่ฉ้อฉลและพ่อค้าผู้มีอิทธิพล เส้นสาย จะชอบใจเพราะเปิดช่องให้ช่วงชิงความได้เปรียบเสียเปรียบกันได้ โดยเฉพาะเมื่อแอบล่วงรู้ข้อมูลของผู้ยื่นประมูลคนอื่นๆ
มาดูกันว่าหลังจากนี้ หน่วยงานที่กำกับดูแลอย่างกรมบัญชีกลาง และ สคร. จะทำให้ถูกต้องและชัดเจนอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายในอนาคต
แต่ที่ผมอยากรู้มากกว่าคือ ทำไม? ประธานตุลาการศาลปกครองสูงสุดจึงไม่สั่งการให้นำคดีอู่ตะเภานี้เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ทั้งๆ ที่กองทัพเรือได้ร้องขอแล้ว[1] เพราะเล็งเห็นว่า อาจจะเกิดความเสียหายต่อรัฐได้ ขณะที่ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดฯ ก็เปิดช่องให้ทำได้[2] และเคยทำมามากแล้ว
ขอบคุณแหล่งข้อมูล:
ดร. มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
อ้างอิง:
1 https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/854134
2 https://www.isranews.org/isranews/84415-openn-84415.html