
ตามร่างแผน PDP 2024 ภาครัฐมีแผนที่จะจัดสรรโควต้ากำลังการผลิตไฟฟ้าที่จะเกิดใหม่ให้กับระบบกักเก็บพลังงาน (ระบบ BESS) ทั้งหมด 10,485 เมกะวัตต์ เพื่อรักษาความต่อเนื่อง ในการจ่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และเพิ่มความมั่นคงของระบบผลิตและจ่ายไฟฟ้า และ โดยคาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2575-78
ในการพัฒนาระบบ BESS รูปแบบที่ภาครัฐลงทุนระบบ BESS ด้วยตนเอง ประเมินว่าเป็นหนึ่งในรูปแบบที่เหมาะสม เมื่อพิจารณาในแง่วัตถุประสงค์ในการจัดสรรโควต้ากำลังการผลิตไฟฟ้าให้ระบบ BESS ในร่างของแผน PDP 2024 และต้นทุนทั้งหมดที่ภาครัฐต้องแบกรักภาระอย่างไรก็ดี ภาครัฐสามารถลดภาระงบประมาณในการพัฒนาระบบ BESS โดย จัดสรรโควตาให้ภาคเอกชนไปดำเนินธุรกิจระบบ BESS ในรูปแบบสัญญาเช่า
…
“พงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ” นักวิเคราะห์ Krungthai Compass ระบุว่า ปัจจุบัน พลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์และลม กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในกระบวนการผลิตไฟฟ้าของไทย ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด มากขึ้น หลังจากรัฐบาลชุดใหม่ได้ประกาศนโยบายที่จะผลักดันให้ไทยสามารถบรรลุเป็น Net Zero Emission ภายในปี 2593 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 25681 อย่างไรก็ดี กระบวนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งสองประเภทข้างต้นยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากเป็นการผลิกระแสไฟฟ้าจากแหล่งธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้ จึงไม่สามารถผลิตไฟฟ้าตลอดช่วงเวลาที่ต้องการได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า2

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ระบบกักเก็บพลังงาน Battery Energy Storage System (BESS) จึงถูกนำมาใช้กักเก็บพลังงานในช่วงเวลาที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ ก่อนที่กระแสไฟฟ้าจะถูกนำออกไปใช้เมื่อมีความต้องการ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า3 และรองรับการเพิ่มขึ้นของการใช้พลังงานหมุนเวียน
สำหรับไทย ภาครัฐได้มีการขับเคลื่อนการลงทุนใน BESS แล้ว โดยการบรรจุแผนพัฒนาโครงการระบบ BESS ไว้ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตกำลังไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2567-2580 (ร่างของแผน PDP2024) ซึ่งบทความนี้จะอธิบายแผนการลงทุนโครงการระบบ BESS ของไทย วิเคราะห์รูปแบบธุรกิจที่เหมาะสม รวมทั้งโอกาสทางธุรกิจจากการลงทุนระบบ BESS ของผู้ประกอบการไทย

แผนพัฒนา BESS ของไทย!
ปัจจุบัน ภาครัฐได้มีการบรรจุแผนพัฒนาโครงการระบบกักเก็บพลังงาน (ระบบ BESS) ไว้ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตกำลังไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2567-2580 (ร่างแผน PDP2024) ซึ่งจากร่างแผนดังกล่าว ภาครัฐมีแผนที่จะให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หรือ/และภาคเอกชนลงทุนระบบ BESS ทั้งหมดราว 10,485 เมกะวัตต์ เพื่อเพิ่มความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า และรักษาความต่อเนื่องของไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนบางประเภท โดยคาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าจากระบบ BESS นี้เข้าระบบเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2575-784
ปัจจุบันรายละเอียดเกี่ยวกับโควต้าของกำลังการผลิต ลักษณะธุรกิจของระบบ BESS ที่ให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนและดำเนินการ รวมทั้งข้อมูลที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการลงทุนระบบ BESS ตามร่างแผน PDP2024 ยังมีไม่มากนัก

ดังนั้น บทความนี้จะอธิบายลักษณะธุรกิจของ BESS รวมทั้งวิเคราะห์ผลประโยชน์และโอกาสทางธุรกิจจากการลงทุนระบบ BESS ที่ผู้ประกอบการไทยจะได้รับในหัวข้อถัดไป
BESS ใช้งานร่วมกับระบบไฟฟ้าอย่างไร ?
ระบบ BESS สามารถให้บริการร่วมกับระบบไฟฟ้าในประเทศได้ใน 3 รูปแบบหลักๆ ได้แก่..
1. Energy and Capacity Services ซึ่งเป็นการให้บริการในการกักเก็บไฟฟ้าในช่วงที่ใช้ไฟฟ้าน้อย และจ่ายไฟฟ้าในช่วงที่ใช้ไฟฟ้ามาก และให้บริการในการรักษาความต่อเนื่องของไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนบางประเภท4 โดยตัวอย่างผู้ประกอบการที่ให้บริการในรูปแบบนี้ เช่น โครงการ Hornsdale Power Reserve ในออสเตรเลียที่มีการแบ่งกำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์เพื่อให้บริการกักเก็บไฟฟ้าในช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าน้อย แล้วค่อยจ่ายไฟฟ้าในช่วงที่ใช้ไฟฟ้ามาก5
2. Transmission and Distribution service (T&D Service) ซึ่งเป็นการให้บริการชาร์จไฟฟ้าในช่วงเวลาและในพื้นที่ที่มีความต้องการใช้ระบบสายส่งไฟฟ้าและระบบจำหน่ายไฟฟ้าต่ำ และช่วยจ่ายไฟฟ้าในช่วงเวลาและพื้นที่ที่มีความต้องการใช้ระบบสายส่งไฟฟ้าและระบบจำหน่ายไฟฟ้าสูง เพื่อลดปัญหาความแออัดของสายส่งและสายจำหน่ายไฟฟ้า รวมทั้งรักษาแรงดันในระบบจำหน่ายไฟฟ้า6 โดยตัวอย่างผู้ประกอบการที่ให้บริการในรูปแบบนี้ เช่น Arizona Public Service ที่ได้ติดตั้งระบบ BESS ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 2 เมกะวัตต์ เพื่อช่วยจ่ายไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการใช้ระบบสายส่งไฟฟ้าสูง ซึ่งลดความแออัดของสายส่งและสายจำหน่ายไฟฟ้าใน Tonto National Forest7
3. Ancillary Service ซึ่งเป็นการให้บริการรักษาความสมดุลระหว่างความต้องการใช้ไฟฟ้าและผลิตไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าให้สอดคล้องกัน รวมทั้งให้บริการไฟฟ้าในสถานการณ์ฉุกเฉิน และรักษาแรงดันและเสถียรภาพในระบบไฟฟ้าโดยรวม6 โดยตัวอย่างผู้ประกอบการที่ให้บริการในรูปแบบนี้ เช่น การไฟฟ้าของไต้หวันได้ระดมกำลังไฟฟ้าสำรอง ซึ่งรวมถึงระบบ BESS เพื่อช่วยตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่เกิดแผ่นดินไหว7

เจาะรูปแบบธุรกิจระบบ BESS
ก่อนที่จะวิเคราะห์รูปแบบธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (ระบบ BESS) ที่เหมาะสมกับการใช้ระบบ BESS ตามร่างของแผน PDP 2024 เราจะมาอธิบายรูปแบบธุรกิจระบบ BESS แต่ละประเภท
รูปแบบในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนระบบ BESS มีกี่รูปแบบ ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจและการลงทุน BESS มี 2 รูปแบบหลัก8 ได้แก่
1) ภาครัฐลงทุนระบบ BESS ด้วยตนเอง (Public Sector Direct Investment) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ภาครัฐจะลงทุนระบบ BESS และบริหารจัดการ BESS ด้วยตนเอง รวมทั้งแบกรับภาระต้นทุนทั้งหมดที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการของระบบ BESS8 ทั้งนี้ รูปแบบนี้เหมาะกับการให้บริการรักษาความสมดุลและเสถียรภาพในระบบไฟฟ้า เพราะรูปแบบนี้ทำให้ภาครัฐสามารถสั่งการให้ระบบ BESS จ่ายและกักเก็บไฟฟ้าได้ทันทีในกรณีที่เกิดความไม่สมดุลในระบบไฟฟ้า9
2) ภาคเอกชนลงทุนระบบ BESS และให้บริการ ระบบ BESS แก่ภาครัฐ ซึ่งเป็นรูปแบบที่ภาคเอกชนจะลงทุนระบบ BESS และให้บริการ ระบบ BESS แก่ภาครัฐ โดยที่ภาคเอกชนต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดูแลและรักษา BESS10 ทั้งนี้ รูปแบบดังกล่าวจะแบ่งเป็น 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่
2.1) สัญญาเช่า (Tolling System) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ภาคเอกชนจะลงทุนระบบ BESS เพื่อให้เช่าแก่ภาครัฐ ซึ่งแลกกับการจ่ายค่าเช่าในอัตราที่ตกลงกันตลอดอายุสัญญาการเช่า11 โดยที่ผู้ลงทุนทำหน้าที่ดูแลและรักษาระบบ BESS ขณะที่ภาครัฐจะมีสิทธิ์ในการบริหารจัดการระบบ BESS ทั้งหมด และแบกรับต้นทุนในการอัดประจุไฟฟ้าเข้าระบบ BESS10 ทั้งนี้ รูปแบบนี้เหมาะกับการให้บริการรักษาเสถียรภาพในระบบไฟฟ้า และให้บริการในการกักเก็บไฟฟ้าในช่วงที่ใช้ไฟฟ้าน้อย และจ่ายไฟฟ้าในช่วงที่ใช้ไฟฟ้ามาก เพราะรูปแบบนี้ทำให้ภาครัฐสามารถสั่งการระบบ BESS ให้กักเก็บไฟฟ้า และจ่ายไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ต้องการได้อย่างทันทีทันใด โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าเช่าระบบ BESS และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้เหมาะกับการใช้ในการรักษาความเสถียรในระบบไฟฟ้า และใช้ในการกักเก็บและจ่ายไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ต้องการ12
2.2) สัญญาให้บริการตามกำลังการผลิตไฟฟ้าที่จองไว้ล่วงหน้า และตามปริมาณไฟฟ้าที่ใช้จริง (Capacity Plus Energy Agreement) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ภาคเอกชนจะลงทุน รวมทั้งควบคุมและดูแลระบบ BESS พร้อมทั้งแบกรับต้นทุนที่เกี่ยวกับระบบ BESS ทั้งหมด13 เพื่อให้บริการจ่ายไฟฟ้าตามความคำสั่งของภาครัฐ ซึ่งแลกกับการจ่ายค่าจองกำลังการผลิตไฟฟ้าไว้ล่วงหน้า13 ที่จะคงที่ตลอดอายุสัญญาการให้บริการไฟฟ้า14 และค่าไฟฟ้าที่ใช้งานจริง13 ที่เปลี่ยนแปลงตามต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่อัดประจุเข้าไปในระบบ BESS15 ทั้งนี้ รูปแบบนี้เหมาะกับการให้บริการในการรักษาความต่อเนื่องของไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนบางประเภท เช่น โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ เพราะรูปแบบนี้ทำให้ภาครัฐมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่แน่นอนที่ใช้ในการรักษาความต่อเนื่องของไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน15
2.3) สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ภาคเอกชนจะลงทุน และบริหารจัดการและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับระบบ BESS ทั้งหมด เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟให้ภาครัฐ ตามปริมาณไฟฟ้าที่ระบุไว้ในสัญญา13 โดยภาครัฐจะจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตราคงที่ตามปริมาณขายไฟฟ้าที่ระบุในสัญญา14 ทั้งนี้ รูปแบบธุรกิจนี้เหมาะกับการใช้ในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าภายในองค์กร เพราะราคาขายไฟฟ้าต่อหน่วยไฟฟ้าของรูปแบบนี้จะคงที่ตลอดอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า จึงทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการค่าไฟฟ้าภายในองค์กร16
2.4) รูปแบบธุรกิจในตลาดไฟฟ้า (Merchant Revenue) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ภาคเอกชนจะลงทุน และบริหารจัดการและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับระบบ BESS ทั้งหมด เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้กับตลาดซื้อขายไฟฟ้า นอกจากนั้น ภาคเอกชนยังสามารถซื้อไฟฟ้าจากตลาดขายไฟฟ้าเพื่อกักเก็บในระบบ BESS ได้อีกด้วย17 ทั้งนี้ รูปแบบนี้ยังไม่เหมาะสมกับประเทศไทยในขณะที่ เพราะระบบไฟฟ้าของไทยเป็นระบบไฟฟ้าที่ภาครัฐเป็นผู้ซื้อไฟฟ้ารายเดียวจากโรงไฟฟ้าเกือบทุกแห่งแล้วนำมาจำหน่ายไฟฟ้าต่อให้ประชาชน จึงทำให้ไทยยังไม่มีตลาดซื้อขายไฟฟ้าอย่างเป็นทางการในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หากไทยมีการจัดตั้งตลาดซื้อไฟฟ้าอย่างเป็นทางการในอนาคต รูปแบบนี้อาจถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น18

จากการประเมินจากวัตถุประสงค์ในการจัดสรรโควตากำลังการผลิตไฟฟ้าให้กับระบบ BESS ตามร่างของแผน PDP 2024 และค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องแบกรับภาระในกรณีที่ภาครัฐลงทุนระบบ BESS ด้วยตนเอง หรือให้ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจระบบ BESS ในรูปแบบต่างๆ จะพบว่า รูปแบบที่ภาครัฐลงทุนระบบ BESS ด้วยตนเอง (รูปแบบ 1) เป็นหนึ่งในรูปแบบการดำเนินธุรกิจระบบ BESS ที่เหมาะสม จากเหตุผลดังต่อไปนี้
1) ค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องแบกรับในกรณีที่ภาครัฐลงทุนระบบ BESS ด้วยตนเองต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับรูปแบบอื่นๆ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนระบบ BESS ทั้งหมดอยู่ราว 27.7 ล้านบาท/เมกะวัตต์ ซึ่งต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในการเช่าระบบ BESS ตลอดอายุการใช้งานระบบ BESS ที่ 15 ปี ซึ่งอยู่ราว 53.9 ล้านบาท/เมกะวัตต์ นอกจากนั้น ยังมีสาเหตุเพิ่มเติมจากรูปแบบนี้ทำให้ภาครัฐสามารถอัดประจุไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ค่าไฟฟ้าต่ำ ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการอัดประจุไฟฟ้าตลอดอายุการใช้ระบบ BESS ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในการซื้อไฟฟ้าจากระบบ BESS ของภาคเอกชน19
2) รูปแบบที่ภาครัฐลงทุนระบบ BESS ด้วยตนเองเหมาะกับการใช้รักษาความสมดุลและเสถียรภาพในระบบไฟฟ้า ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดสรรโควตากำลังการผลิตไฟฟ้าให้กับระบบ BESS ที่ระบุในร่างของแผน PDP 2024 เพราะรูปแบบนี้ทำให้ภาครัฐสามารถสั่งการให้ระบบ BESS จ่ายไฟฟ้าได้ทันทีในกรณีที่เกิดความไม่เสถียรในระบบไฟฟ้า20
อย่างไรก็ดี ในรูปแบบที่ภาครัฐลงทุนระบบ BESS ด้วยตนเอง ภาครัฐต้องรับผิดชอบในการดูแลรักษาระบบ BESS ตลอดอายุการใช้งานของระบบ BESS ทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการซ่อมบำรุงระบบ BESS เป็นจำนวนมาก เพื่อดูแลรักษาระบบดังกล่าว นอกจากนั้น ภาครัฐต้องใช้งบประมาณที่สูงในการลงทุนระบบ BESS ในระยะเริ่มต้น20 เพื่อลดภาระงบประมาณของภาครัฐ หนึ่งในแนวทางที่ภาครัฐสามารถพิจารณา คือ การจัดสรรโควตากำลังการผลิตไฟฟ้าของระบบ BESS บางส่วน ให้ภาคเอกชนไปลงทุนและปล่อยเช่าระบบ BESS หรือขายไฟฟ้าให้กับภาครัฐ20
หากพิจารณาจากความเหมาะสมของการให้บริการในรูปแบบต่างๆ ที่ภาคเอกชนสามารถดำเนินธุรกิจระบบ BESS ได้ และค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องแบกรับภาระในแต่ละรูปแบบในการดำเนินธุรกิจระบบ BESS จะพบว่า สัญญาเช่า (รูปแบบ 2.1) เป็นรูปแบบในการดำเนินธุรกิจที่เหมาะสมที่สุด หากภาครัฐจะให้ภาคเอกชนดำเนินการ เนื่องจาก 1) รูปแบบสัญญาเช่าเหมาะกับการใช้ในการรักษาเสถียรภาพในระบบไฟฟ้า ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดสรรโควตากำลังการผลิตไฟฟ้าให้กับระบบ BESS ที่ระบุไว้ในร่างของแผน PDP 2024 นอกจากนั้น ยังมีสาเหตุเพิ่มเติมมาจาก 2) รูปแบบสัญญาเช่าที่มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการไฟฟ้าที่ผลิตจากระบบ BESS มากกว่ารูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (รูปแบบ 2.3) ที่มีค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องแบกรับภาระน้อยกว่า21

นอกจากนี้ รูปแบบสัญญาเช่ายังทำให้ภาครัฐสามารถลดค่าใช้จ่ายในการอัดประจุไฟฟ้าโดยการเปลี่ยนจากการอัดประจุไฟฟ้าจากระบบไฟฟ้าส่วนกลางเป็นการอัดประจุไฟฟ้าที่ภาครัฐซื้อจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนต่างๆ เช่น โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในโครงการไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องแบกรับภาระทั้งหมดในกรณีที่ให้ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจระบบ BESS ในรูปแบบสัญญาเช่าในระยะเวลา 15 ปี22 ลดลงจาก 83.47 ล้านบาท/เมกะวัตต์ เป็น 81.06 ล้านบาท/เมกะวัตต์23 ซึ่งใกล้เคียงกับค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องแบกรับภารในกรณีที่ให้ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจระบบ BESS ในรูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตลอดสัญญาขายไฟฟ้าที่ 15 ปี22 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ราว 74.98 ล้านบาท/เมกะวัตต์23
หากภาครัฐมีแผนที่จะลงทุนระบบ BESS ด้วยตนเองหรือเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนลงทุนระบบ BESS และดำเนินธุรกิจในรูปแบบต่างๆ ตามกำลังการผลิตไฟฟ้าของระบบ BESS ซึ่งระบุไว้ในร่างของแผน PDP 2024 จะก่อเกิดให้เม็ดเงินลงทุนในการพัฒนาระบบ BESS และสร้างรายได้และผลตอบแทนแก่ภาคเอกชนในระยะข้างหน้า โดยหัวข้อถัดไปจะมาวิเคราะห์เม็ดเงินลงทุนที่เกิดขึ้นจากการลงทุนระบบ BESS จากภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งผลตอบแทนที่คาดว่าภาคเอกชนจะได้รับ หากภาครัฐอนุญาตให้ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจระบบ BESS ในรูปแบบต่างๆ
ส่องระบบ BESS สร้างเม็ดเงินลงทุนมากเพียงใด-คุ้มค่าการลงทุน?
การลงทุนพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน (ระบบ BESS) ตามโควตากำลังการผลิตไฟฟ้าของระบบ BESS ที่ระบุไว้ในร่างของแผน PDP 2024 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 10,485 เมกะวัตต์ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยภาครัฐหรือภาคเอกชน คาดว่าจะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนในการพัฒนาระบบ BESS ราว 2.91 แสนล้านบาทในช่วงปี 2574-78 ซึ่งการประเมินนี้อยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าผู้ลงทุนใช้เวลาในการก่อสร้างระบบ BESS ราว 1 ปี24 และใช้เงินลงทุนเฉลี่ยอยู่ราว 27.7 ล้านบาท/เมกะวัตต์25 ในช่วงปี 2574-78 ซึ่งลดลง 20% จากปี 2566 ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของ National Renewable Energy Laboratory (NREL)25 รวมทั้งเลือกลงทุนระบบ BESS ที่สามารถกักเก็บไฟฟ้าได้ 2.5 ชั่วโมง/วัน26

นอกจากนั้น หากภาครัฐอนุญาตให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินธุรกิจระบบ BESS ในรูปแบบสัญญาเช่า (รูปแบบ 2.1) ซึ่งเป็นรูปแบบในการดำเนินที่ประเมินว่าเหมาะสมที่สุด หากภาครัฐจะให้ภาคเอกชนดำเนินการ คาดว่าภาคเอกชนจะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการดำเนินธุรกิจระบบ BESS โดยเฉลี่ย (IRR) ปีละ 6.7%
การประเมินนี้อยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าการดำเนินธุรกิจระบบ BESS ในรูปแบบ 2.1 จะได้รับรายได้จากค่าเช่าระบบ BESS ซึ่งคิดเป็น 13% ของเม็ดเงินลงทุนในการพัฒนาระบบ BESS ต่อปี และคงที่ตลอดอายุสัญญาเช่า ที่ 15 ปี ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ Libra project ในสหรัฐฯ27
เมื่อพิจารณาระยะเวลาคืนทุนของการดำเนินธุรกิจระบบ BESS ในรูปแบบ 2.1 พบว่า การดำเนินธุรกิจระบบ BESS ของภาคเอกชนในรูปแบบนี้จะใช้เวลาคืนทุนประมาณ 9.2 ปี ซึ่งสั้นกว่าอายุสัญญาเช่าและอายุการใช้งานของระบบ BESS ที่ 15 ปี28
การลงทุนพัฒนาระบบ BESS ในไทย ย่อมส่งผลบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่ ธุรกิจผลิตและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าและระบบปรับอากาศของระบบ BESS เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจระบบ BESS มีแนวโน้มที่จะใช้บริการจากผู้ประกอบการเหล่านี้มากขึ้นในระยะข้างหน้า ซึ่งจะได้วิเคราะห์ผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบการดังกล่าวได้รับในหัวข้อถัดไป
หมายเหตุ :
1 ข้อมูลจากบทความ เรื่อง “รัฐบาลปรับ Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี-จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เขย่าอุตสาหกรรมไทย”, THAIPUBLICA (ต.ค.2568)
2 ข้อมูลจาก BOI
3 ข้อมูลจากรายงาน เรื่อง “ประชุมหารือ/แลกเปลี่ยนความเห็นภายใต้โครงการศึกษานโยบายการส่งเสริมการใช้งานระบบกักเก็บพลังงานในภาคธุรกิจไฟฟ้าเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน”,สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ก.ค.2568)
4 ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ก.ค.2568)
5 ข้อมูลจากบทความเรื่อง “Battery energy storage system”, Wikipedia (เปิดเมื่อวันที่ 2 ก.ย.2569)
6 ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ก.ค.2568)
7 ข้อมูลจาก UTILITY DIVE (พ.ย.2560) และ enel x (เปิดเมื่อวันที่ 2 ก.ย.68) และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS)
8 ข้อมูลจากสานักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ก.ค.2568)
9 รวบรวมและวิเคราะห์โดย Krungthai COMPASS
10 ข้อมูลจากรายงาน เรื่อง “ประชุมหารือ/แลกเปลี่ยนความเห็นภายใต้โครงการศึกษานโยบายการส่งเสริมการใช้งานระบบกักเก็บพลังงานในภาคธุรกิจไฟฟ้าเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน”,สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ก.ค.2568)
11 ข้อมูลจาก City of Anaheim Public Utilities Department ( เม.ย.2567) และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS
12 วิเคราะห์โดย Krungthai COMPASS โดยใช้ข้อมูลจาก EIA (มิ.ย.2567), บทความ เรื่อง “Grid-connected battery energy storage system: a review on application and integration”,Chunyang Zhao and co-authors (ส.ค.2566), next (ก.ย.2568) และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS
13 ข้อมูลจากรายงาน เรื่อง “ประชุมหารือ/แลกเปลี่ยนความเห็นภายใต้โครงการศึกษานโยบายการส่งเสริมการใช้งานระบบกักเก็บพลังงานในภาคธุรกิจไฟฟ้าเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน”,สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ก.ค.2568)
14 ข้อมูลจาก Morgan Lewis (มี.ค.2566) และรวบรวมและวิเคราะห์โดย Krungthai COMPASS
15 วิเคราะห์โดย Krungthai COMPASS โดยใช้ข้อมูลจาก EIA (มิ.ย.2567), บทความ เรื่อง “Grid-connected battery energy storage system: a review on application and integration”,Chunyang Zhao and co-authors (ส.ค.2566), next (ก.ย.2568) และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS
16 วิเคราะห์โดย Krungthai COMPASS โดยใช้ข้อมูลจากบทความ เรื่อง ”Behind the Meter vs. Front of the Meter – What’s the difference?”, Power-Sonics (เปิดเมื่อวันที่ 14 ต.ค.2568) และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS)
17 ข้อมูลจากรายงาน เรื่อง “ประชุมหารือ/แลกเปลี่ยนความเห็นภายใต้โครงการศึกษานโยบายการส่งเสริมการใช้งานระบบกักเก็บพลังงานในภาคธุรกิจไฟฟ้าเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน”,สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ก.ค.2568)
18 รวบรวมและวิเคราะห์โดย Krungthai COMPASS
19 วิเคราะห์และประเมินโดย Krungthai COMPASS โดยใช้ข้อมูลจาก City of Anaheim Public Utilities Department ( เม.ย.2567), NREL, Enervision (ต.ค.2565) และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS
20 รวบรวมและวิเคราะห์โดย Krungthai COMPASS
21 วิเคราะห์โดย Krungthai COMPASS โดยใช้ข้อมูลจาก EIA (มิ.ย.2567), บทความ เรื่อง “Grid-connected battery energy storage system: a review on application and integration”,Chunyang Zhao and co-authors (ส.ค.2566), next (ก.ย.2568) ร่างของแผน PDP 2024 และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS)
22 ระยะเวลาในการเช่าระบบ BESS เท่ากับอายุการใช้งานของระบบ BESS ที่ 15 ปี ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจาก Enervision (ต.ค.2565)
23 วิเคราะห์และประเมินโดย Krungthai COMPASS โดยใช้ข้อมูลจากบทความ เรื่อง “BLM approves NV Energy’s Greenlink West transmission, Arevia’s $2.3B solar + storage project”, UTILITY DIVE (ก.ย.2567), Enervision (ต.ค.2565), กฟผ. และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS
24 ข้อมูลจาก Tilt Renewables (ก.พ.2567)
25 ประเมินโดย Krungthai COMPASS โดยการใช้ข้อมูลจาก NREL, Mordor Intelligence (2567) และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS
26 ประเมินโดย Krungthai COMPASS โดยการใช้ข้อมูลจากร่างของแผน PDP 2024)
27 ข้อมูลจาก City of Anaheim Public Utilities Department ( เม.ย.2567)
28 ข้อมูลจาก Enervision (ต.ค.2565)